
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ฉีดวัคซินป้องกันไข้หวัดใหญ่
ฉีดวัคซินป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปีที่ 5 ทีมงานป้องกันและกำจัดโรคไข้หวัดนกอำเภอฝาง โดยฝ่ายสาธารณสุขโรงพยาบาลฝาง
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ประชุมทบทวนบันทึกข้อมูลเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และขึ้นทะเบียนสุนัข - แมว
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วงจรชีวิตของเห็บ (บทความ...../2556)
วงจรชีวิตของเห็บ (บทความ...../2556) |
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช |
วันพุธที่ 17 เมษายน 2013 เวลา 11:57 น. |
เห็บสุนัข มี ลักษณะแตกต่างจากแมลงโดยทั่วไป คือเห็บเต็มวัยมี 8 ขา เห็บจะไม่มีหัวมีแต่ส่วนที่เป็นปากยื่นออกมาให้เห็นเท่านั้น ขนาดของเห็บโตเต็มที่มีขนาดยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร เห็บจะใช้ส่วนปากของมันแทงเข้าใต้ผิวหนังและเกาะติดแน่นบนตัวสุนัขแล้วดูดกินเลือดเป็นอาหาร เห็บตัวเมียซึ่งได้รับการผสมพันธุ์จากเห็บตัวผู้บนตัวสุนัข แล้วจะดูดเลือดจนตัวเป่งจนขยายตัวเต็มที่อาจมีขนาดถึง 12 มิลลิเมตร มองดูคล้ายเมล็ดลูกหยี เมื่อมันจะวางไข่ มันจะถอนส่วนปากออกจากผิวหนัง หล่นจากตัวสุนัขแล้วไปหาที่วางไข่ หลังจากตัวเมียวางไข่แล้วก็จะแห้งตาย และก่อนที่เห็บจะออกจากตัวสุนัขทุกครั้งเห็บจะดูดกินเลือดจนตัวเป่งเต็มที่ก่อนเสมอ เห็บมีวงจรชีวิต 4 ระยะ ระยะแรกคือไข่ ตัวเมียจะวางไข่เพียงครั้งเดียวซึ่งจะใช้เวลาในการวางไข่ประมาณ 10 วัน ไข่ทั้งหมดจะรวมอยู่กันเป็นกอง ๆ ประมาณ 2,000 ถึง 4,000 ฟอง จากนั้นตัวอ่อนจะมีการออกจากตัวสุนัข 3 ครั้ง เพื่อลอกคราบ โดยสามารถอาศัยอยู่ตามพื้นบ้าน ผนัง มุมกรงสุนัข ตลอดจนสนามหญ้าที่สุนัขเดินผ่าน แล้วลงมาวางไข่นอกตัวสุนัข ไข่ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการฟักออกมาเป็นตัวอ่อน ซึ่งจะมีเพียง 6 ขาเท่านั้น เคลื่อนที่ได้ไวมาก ตัวอ่อนนี้จะขึ้นไปกินเลือดบนตัวสุนัขอย่างน้อย 2 -3 วัน เมื่ออิ่มแล้วจะหล่นจากตัวสุนัข ไปหาที่ลอกคราบ กลายเป็นตัวกลางวัย ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวอ่อนอย่างเห็นได้ชัดและมี 8 ขา ตัวกลางวัยนี้จะกินเลือดบนตัวสุนัขอีก และจะหล่นลงสู่พื้นเมื่อกินอิ่มแล้วเช่นกัน จากนั้นจะลอกคราบกลายเป็นตัวเต็มวัย ซึ่งจะต้องขึ้นบนตัวสุนัขอีกเพื่อดูดเลือดและผสมพันธุ์ต่อไป วงจรชีวิตของเห็บชนิดนี้จะ สมบูรณ์ได้ในเวลา ประมาณ 45-50 วัน แล้วแต่อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ เห็บแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก ถ้าเจ้าของสุนัข ไม่เอาใจใส่สุนัข ปล่อยให้มีเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายในบ้าน จะพบเห็บในปริมาณมากจนน่าตกใจ สุนัขอาจตายจากเห็บ จาการเสียเลือดทำให้ผอม และอ่อนเพลียแล้ว เห็บยังสามารถนำโรคร้ายแรง อื่นๆ มาให้สุนัขอีกด้วย คนส่วนใหญ่เมื่อจับเห็บจากตัวสุนัขได้มักจะชอบบี้ให้ตาย นั่นจะเป็นการทำให้ไข่ของเห็บแพร่กระจายได้รวดเร็ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ปัญหาและอันตรายที่เกิดจากเห็บ 1. สูญเสียเลือดอย่างเรื้อรัง และเกิดสภาวะโลหิตจางเนื่องจากทุกระยะของเห็บยกเว้นไข่จะดูดกินเลือดสุนัขนั่นเอง 2. เกิดบาดแผลบนผิวหนังของสุนัข ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่สภาวะผิวหนังติดเชื้อเป็นหนอง 3. ก่อให้เกิดความรำคาญและอาการคัน เนื่องจากน้ำลายเห็บ ทำให้สุนัขเกาและเกิดแผลตามมาได้ 4. การติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือด 4.1 โรคไข้เห็บ (Babesiosis) 4.2 Ehrlichiosis 4.3 Hepatozoonosis 5. ทำให้เกิดอัมพาตเนื่องจากเห็บ (Ticks paralysis) -2- การควบคุมและกำจัด 1. การควบคุมโดยการใช้สารเคมี 2. การควบคุมโดยชีววิธี 3. การควบคุมแบบผสมผสาน 4. การควบคุมโดยการใช้วัคซีน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการควบคุมโดยการใช้สารเคมีเท่านั้น เนื่องจากอีก 3 วิธีที่เหลือยังไม่เป็นที่นิยมและอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลอง รูปแบบของการใช้สารเคมีในการกำจัดเห็บ 1. แชมพูกำจัดเห็บหมัด ประกอบไปด้วย แชมพูฟอกและทำความสะอาดตัวสุนัข ซึ่งจะมีส่วนของสารเคมีหรือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีผลในการกำจัดเห็บหมัด ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้เห็บหลุดจากตัวสุนัขชั่วคราว การอาบต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที ก่อนล้างออก 2. แป้งโรยตัว ซึ่งผู้ผลิตมักแนะนำให้โรยตัวหลังอาบน้ำ แต่ผู้เขียนเห็นว่าควรจะโรยตัวก่อนการอาบน้ำมากกว่า เพื่อขจัดสารเคมีออกจากตัวสุนัขก่อนที่สุนัขจะเลียแล้วก่อให้เกิดความเป็นพิษได้ 3. สเปรย์ ใช้สารเคมีเจือจางพ่นลงบนตัวสุนัขโดยเฉพาะบริเวณที่เห็บเกาะ มีผลทำให้เห็บตายได้ 4. สารเคมีเข้มข้นชนิดผงหรือสารละลาย ที่ใช้ผสมน้ำเพื่อราดตัว จุ่มตัว หรืออาบตัวสุนัขเพื่อฆ่าเห็บและหมัด เหา สุนัขได้ 5. กลุ่มเวชภัณฑ์ชนิดฉีด มีฤทธิ์ทำให้เห็บเกิดอัมพาตจนตายได้ 6. กลุ่มสารเคมีหยดผิวหนัง (Spot on) สารเคมีจะคงตัวอยู่ในชั้นไขมันใต้ผิวหนังในช่วงเวลาหนึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าเห็บหมัด 7. ปลอกคอกันเห็บหมัด (Collars) วิธีการควบคุมเห็บที่ถูกต้อง เพื่อให้การควบคุมเห็บมีประสิทธิภาพสูง จำเป็นต้องมีการควบคุมเห็บพร้อมกันทั้ง 2 ส่วน คือ 1. การควบคุมบนตัวสุนัข 2. การควบคุมภายนอกตัวสุนัข หรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย โดยการพ่นสารเคมีกำจัดเห็บตามบริเวณซอกกรง บริเวณที่สุนัขนอน สนามหญ้า โดยใช้เครื่องสเปรย์คันโยกหรือฝักบัวรดน้ำต้นไม้ หลักในการควบคุมเห็บสุนัขให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อาจสรุปได้ดังนี้ 1. เลือกใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพสูง และเห็บไม่ดื้อต่อสารชนิดนั้น 2. มีการควบคุมเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายนอกตัวสุนัข 3. เลือกใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ 4. ใช้สารเคมีในขนาดที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้ในฉลากกำกับสารเคมี 5. ทำการควบคุมเห็บในสุนัขทุกตัวที่เลี้ยงอยู่รวมกัน หรือใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ 6. สามารถใช้รูปแบบการควบคุมเห็บบนตัวสุนัขได้มากกว่า 1 วิธี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คัดลอก ดัดแปลง และเรียบเรียงจากเอกสารการประกวดสุนัข 2545 “เห็บสุนัขและการควบคุม” ของ รศ. น.สพ. ดร.อาคม สังข์วรานนท์ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ -------------------------------------------- ข้อมูล/ภาพประกอบ : สพ.ญ.ปราณี พาณิชย์พงษ์ สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ เผยแพร่ : สำนักส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ |
วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556
กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย
กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย |
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช |
วันจันทร์ที่ 04 มีนาคม 2013 เวลา 09:01 น. |
อธิบดีกรมปศุสัตว์ สั่งการให้ทุกด่านกักกันสัตว์ทั่วประเทศ ตรวจสอบทุกด่านชายแดนป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์ปีกเข้มงวดกว่าเดิม หวังสกัดกั้นไม่ให้โรคไข้หวัดนกเข้าสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ ที่ติดกับประเทศกัมพูชา หลังพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดนกในกัมพูชาเพิ่มอีก 1 ราย นับเป็นรายที่ 9 ของปีนี้ นายทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้สั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะเข้า-ออก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถเข็น ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันที และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนบริเวณแนวชายแดน ตลอดจนผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ประเทศให้ระมัดระวังป้องกันโรคไข้หวัดนก ทั้งนี้ ความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ในกัมพูชาอาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้ทางนกอพยพ หรือนกธรรมชาติที่บินเข้ามาสู่ประเทศไทย และการลักลอบนำสัตว์ปีกเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดนผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระและซากของนกอพยพ และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ หากพบว่ามีนกตายผิดปกติ หรือพบเชื้อโรคไข้หวัดนกจะเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันที กรมปศุสัตว์ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกทั่วโลก (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 จนถึง 2 มีนาคม 2556) มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ประเทศบังคลาเทศ เม็กซิโก เนปาล ภูฐาน และกัมพูชา โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาซึ่งมีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง (Highly pathogenic avian influenza virus: H5N1) ในฟาร์มสัตว์ปีก ขึ้น 3 จุด รายงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ในพื้นที่เมือง Prey Kambas จังหวัด TAKEO ซึ่งตั้งอยู่ติดกับกรุงพนมเปญและประเทศเวียดนาม มีการทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 4,000 ตัว โดยครั้งล่าสุด จำนวน 2 จุด รายงานเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 พบในสัตว์ปีกที่เลี้ยงหลังบ้าน ที่จังหวัด Kampong cham และ จังหวัด Kampot ทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 3,500 ตัว และจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชาตั้งแต่ต้นปี 2546 ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยจากโรคไข้หวัดนก H5N1 จำนวน 30 ราย เสียชีวิตแล้ว 27 ราย ซึ่งรายล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 นับเป็นรายที่ 9 ที่เสียชีวิตตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา -------------------------------------------- ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์ |
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร(40/2556) |
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช |
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 09:57 น. |
นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร ตามแนวการดำเนินการกำกับดูแลอาหารปลอดภัย สินค้าเกษตรภายในประเทศ ณ ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมหน่วยเฉพาะกิจตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อหน้าอกไก่ ตับไก่ เนื้อวัว เนื้อสุกร จากร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านปศุสัตว์จากตลาดไท และห้างแม็คโคร ปทุมธานี เพื่อตรวจสอบหาเชื้อจุลินทรีย์ และตรวจหาการปนเปื้อนยาสัตว์ต้องห้าม เช่น สารเร่งเนื้อแดง (Beta-agonist) ยากลุ่มไนโตรฟูแรนส์ (Nitrofurans, NFS) คลอแรมเฟนนิคอล (Chloramphenicol, CAP) ในตัวอย่างเนื้อสัตว์ การตรวจคุณภาพสินค้าปศุสัตว์เป็นขั้นตอนที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ น้ำนม ไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อื่นๆ โดยกรมปศุสัตว์จะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มเก็บตัวอย่างตั้งแต่ฟาร์ม โรงฆ่า สถานที่ชำแหละ จนถึงสถานจำหน่าย มาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์ ให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ โดยหากพบสารต้องห้ามในสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดทันที ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ขอความร่วมมือหากพบเห็นการใช้สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ หรือสารต้องห้ามเลี้ยงปศุสัตว์อื่น รวมทั้งการลักลอบนำเข้า และซื้อ-ขายสารดังกล่าว ให้แจ้งเบาะแสได้ที่ กรมปศุสัตว์ โทร. 0-2653-4555 ในวัน และเวลาราชการ โดยทางกรมปศุสัตว์จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งไว้เป็นความลับ ซึ่งหากรายใดศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับแล้ว ผู้แจ้งจะได้รับรางวัลสินบนนำจับด้วย เนื่องจากการใช้สารต้องห้ามผสมอาหารเลี้ยงสัตว์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และเป็นการทรมานสัตว์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ตามนโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร หรือ Food Safety ของรัฐบาล และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าของประเทศไทยอีกด้วย ................................................................... ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)