วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย

กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันจันทร์ที่ 04 มีนาคม 2013 เวลา 09:01 น.

              อธิบดีกรมปศุสัตว์ สั่งการให้ทุกด่านกักกันสัตว์ทั่วประเทศ
ตรวจสอบทุกด่านชายแดนป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์ปีกเข้มงวดกว่าเดิม
หวังสกัดกั้นไม่ให้โรคไข้หวัดนกเข้าสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ
ที่ติดกับประเทศกัมพูชา หลังพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดนกในกัมพูชาเพิ่มอีก 1 ราย
นับเป็นรายที่ 9 ของปีนี้
              นายทฤษดี  ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์  กล่าวว่า
กรมปศุสัตว์ได้สั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร
ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ
พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะเข้า-ออก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถเข็น
ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา
หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันที
และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนบริเวณแนวชายแดน ตลอดจนผู้ที่เดินทางเข้า-ออก
ประเทศให้ระมัดระวังป้องกันโรคไข้หวัดนก
               ทั้งนี้
ความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ในกัมพูชาอาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้ทางนกอพยพ
หรือนกธรรมชาติที่บินเข้ามาสู่ประเทศไทย
และการลักลอบนำสัตว์ปีกเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดนผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น
กรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระและซากของนกอพยพ
และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ หากพบว่ามีนกตายผิดปกติ
หรือพบเชื้อโรคไข้หวัดนกจะเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันที
               กรมปศุสัตว์ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกทั่วโลก
(ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 จนถึง 2 มีนาคม 2556) มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
ประเทศบังคลาเทศ เม็กซิโก เนปาล  ภูฐาน  และกัมพูชา
โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาซึ่งมีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย
พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง (Highly pathogenic avian influenza virus: H5N1)
ในฟาร์มสัตว์ปีก ขึ้น 3 จุด รายงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ในพื้นที่เมือง
Prey Kambas จังหวัด TAKEO ซึ่งตั้งอยู่ติดกับกรุงพนมเปญและประเทศเวียดนาม
มีการทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 4,000 ตัว โดยครั้งล่าสุด จำนวน 2 จุด รายงานเมื่อวันที่
22 กุมภาพันธ์ 2556 พบในสัตว์ปีกที่เลี้ยงหลังบ้าน ที่จังหวัด Kampong cham และ
จังหวัด Kampot  ทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 3,500 ตัว
และจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชาตั้งแต่ต้นปี 2546
ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยจากโรคไข้หวัดนก  H5N1 จำนวน  30 ราย เสียชีวิตแล้ว 27 ราย
ซึ่งรายล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 นับเป็นรายที่ 9
ที่เสียชีวิตตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา

                         --------------------------------------------
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร(40/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 09:57 น.
นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร ตามแนวการดำเนินการกำกับดูแลอาหารปลอดภัย สินค้าเกษตรภายในประเทศ ณ ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
           นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมหน่วยเฉพาะกิจตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อหน้าอกไก่ ตับไก่ เนื้อวัว เนื้อสุกร จากร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านปศุสัตว์จากตลาดไท และห้างแม็คโคร ปทุมธานี เพื่อตรวจสอบหาเชื้อจุลินทรีย์ และตรวจหาการปนเปื้อนยาสัตว์ต้องห้าม เช่น สารเร่งเนื้อแดง (Beta-agonist) ยากลุ่มไนโตรฟูแรนส์ (Nitrofurans, NFS) คลอแรมเฟนนิคอล (Chloramphenicol, CAP) ในตัวอย่างเนื้อสัตว์ การตรวจคุณภาพสินค้าปศุสัตว์เป็นขั้นตอนที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ น้ำนม ไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อื่นๆ โดยกรมปศุสัตว์จะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มเก็บตัวอย่างตั้งแต่ฟาร์ม โรงฆ่า สถานที่ชำแหละ จนถึงสถานจำหน่าย มาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์ ให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ โดยหากพบสารต้องห้ามในสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดทันที
          ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ขอความร่วมมือหากพบเห็นการใช้สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ หรือสารต้องห้ามเลี้ยงปศุสัตว์อื่น รวมทั้งการลักลอบนำเข้า และซื้อ-ขายสารดังกล่าว ให้แจ้งเบาะแสได้ที่ กรมปศุสัตว์ โทร. 0-2653-4555 ในวัน และเวลาราชการ โดยทางกรมปศุสัตว์จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งไว้เป็นความลับ ซึ่งหากรายใดศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับแล้ว ผู้แจ้งจะได้รับรางวัลสินบนนำจับด้วย เนื่องจากการใช้สารต้องห้ามผสมอาหารเลี้ยงสัตว์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และเป็นการทรมานสัตว์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ตามนโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร หรือ Food Safety ของรัฐบาล และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าของประเทศไทยอีกด้วย
                                               ...................................................................
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

กรมปศุสัตว์พร้อมป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ในสุกรและสัตว์ปีก

กรมปศุสัตว์พร้อมป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ในสุกรและสัตว์ปีก(27/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2013 เวลา 10:16 น.
กรมปศุสัตว์ จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานทางคลินิกของโรคไข้หวัดใหญ่สำหรับสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อได้ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้เป็นไข้หวัดงดสัมผัสสัตว์ และเฝ้าระวังสุกร และสัตว์ปีก หากพบสัตว์แสดงอาการผิดปกติ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบ มีน้ำมูก  หรือ แสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที
           นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชน ว่าพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ H3N2 ครั้งรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 20 ราย และมีแนวโน้มของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างคนและสัตว์ และเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อได้
           อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้เฝ้าระวัง และติดตามการเกิดโรคสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานทางคลินิกของโรคไข้หวัดใหญ่ สำหรับสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย เพื่อกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ภายในฟาร์มสุกร นอกจากนี้ยังได้สั่งการไปยังปศุสัตว์จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศให้ประชาสัมพันธ์เกษตรกรรายย่อยได้ระมัดระวังมากขึ้น เช่น ไม่ให้ผู้ที่มีอาการป่วย เป็นไข้หวัด เช่น ไอ หรือจาม หลีกเลี่ยงเข้าฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสุกร และสัตว์ปีก  โดยเด็ดขาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อระหว่างคนและสัตว์ รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับระบบการเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก ของเกษตรกรรายย่อยเพื่อไม่ให้เลี้ยงสุกรหรือสัตว์ปีกปะปนกับสัตว์ชนิดอื่น และรณรงค์ทำความสะอาดและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ในสถานที่เลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก รวมทั้งพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ  จากมาตรการที่กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการมาแล้วนั้น จึงถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสัตว์สู่คน และจากคนสู่สัตว์ ซึ่งอาจทำให้เกิดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้น และเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
           ท้ายที่สุดนี้ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เน้นย้ำให้เกษตรกรรักษาสุขภาพ หากมีอาการป่วยให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ และหากพบสัตว์แสดงอาการผิดปกติ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบ มีน้ำมูก  หรือ แสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ หรือปศุสัตว์จังหวัด เพื่อจะได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอในท้องที่ หรือโทรศัพท์ 085-6609906.
                                                                                   ......................................
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ
 

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงโรคสัตว์ในช่วงอากาศหนาวเย็น

กรมปศุสัตว์ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงโรคสัตว์ในช่วงอากาศหนาวเย็น (21/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2012 เวลา 15:33 น.
อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยมีอุณหภูมิลดต่ำลง ส่งผลให้ภาคเหนือมีอากาศหนาว และหนาวจัดบนดอยสูง ส่วนภาคใต้มีฝนตกหนักในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย เกษตรกรจึงควรดูแลตัวเอง และสุขภาพปศุสัตว์ให้แข็งแรงอยู่เสมอ
          นายสัตวแพทย์ทฤษดี  ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า มีความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกตอนบนมีอากาศเย็นและมีหมอก บนยอดดอยอาจหนาวถึงหนาวจัดได้ และภาคใต้มีฝนกระจายถึงหนักมากในระยะนี้
                ซึ่งสภาพอากาศดังกล่าวอาจส่งผลให้สัตว์เลี้ยงเกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย จึงขอให้เกษตรกรในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังปศุสัตว์ของตนเอง ให้มีสุขภาพดีในฤดูหนาวที่กำลังมาถึง  โดยจัดเตรียม วิตามิน และเกลือแร่ ให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงจัดเตรียมโรงเรือนเพื่อเป็นที่กำบังลมหนาว หรือ หาที่สุมไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับปศุสัตว์ และเมื่อสุมไฟให้ไออุ่นกับปศุสัตว์เรียบร้อยแล้ว ขอให้เกษตรกรดับไฟให้สนิทเพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้ทุกครั้งด้วย ส่วนในภาคใต้ เกษตรกรควรจัดเตรียมน้ำสะอาด ยา เวชภัณฑ์ พืชอาหารสัตว์ และสถานที่เตรียมพร้อมอพยพสัตว์ขึ้นบนที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง เพื่อป้องกันการสูญเสียปศุสัตว์ในกรณีน้ำท่วมขังสูง
            สำหรับโรคในโค กระบือ ที่ควรระวัง ในระยะนี้ ได้แก่ โรคคอบวม หรือโรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย  เป็นโรคที่มีความรุนแรงในกระบือ สัตว์จะหายใจหอบ มีเสียงดัง คอ หรือหน้าบวมแข็ง ตายอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอบวม  นอกจากนี้ยังมีโรคปากและเท้าเปื่อย  ซึ่งสามารถติดต่อ และแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วในสัตว์กีบคู่ทุกชนิด จากการที่สัตว์กินเอาเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่กับอาหารและน้ำหรือหญ้า หรือหายใจเอาเชื้อที่ปะปนอยู่กับอากาศในบริเวณที่มีสัตว์ป่วยเข้าไปสัตว์จะ แสดงอาการมีไข้สูง เบื่ออาหาร น้ำลายไหล มีแผลที่ลิ้น เหงือก และร่องกีบ บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม เชื้อเข้าสู่กระแสโลหิต อาจทำให้สัตว์ตายได้   
           ในสุกร ให้ระวังโรคปากและเท้าเปื่อยเช่นเดียวกับในโค กระบือ และโรคที่มีการระบาดในช่วงนี้ คือโรค PRRS เป็นโรคในสุกรไม่ติดต่อถึงคน ซึ่งเชื้อจะแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว สุกรมีอาการไข้ หอบ ไอ ผิวหนังเป็นปื้นแดง ไม่มีแรง หากสุกรท้องจะแท้ง หรือลูกตายแรกคลอด หรืออ่อนแอ แคระแกร็น โตช้า จึงขอให้ผู้เลี้ยงสุกรเข้มงวดการป้องกันโรคเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร โดยแยกเลี้ยงสุกรใหม่ก่อนเข้ารวมฝูงอย่างน้อย 1 เดือน ทำลายเชื้อโรคที่อาจติดมากับยานพาหนะและคนก่อนเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร ด้วยการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง และในช่วงที่มีโรคนี้ระบาดในพื้นที่ ควรงดการนำสุกรเข้าเลี้ยงใหม่และให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อย่างใกล้ ชิด    
          สำหรับผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ไก่ชน และไก่พื้นเมือง  ควรเฝ้าระวัง ดูแล สุขภาพสัตว์ปีกของตนเองอย่างใกล้ชิด   ให้สัตว์ปีกนอนในที่แห้งหรือในเล้าหรือโรงเรือน ที่มีหลังคาและผนังป้องกันลม ฝนได้ รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคจะช่วยให้สัตว์ปีกแข็งแรง ต้านทานโรคได้เป็นอย่างดี  
         อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรเองก็ต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย และต้องหมั่นสังเกตสุขภาพของปศุสัตว์อยู่เป็นประจำหากพบสิ่งผิดปกติ หรือสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือปศุสัตว์จังหวัดใกล้บ้านท่าน อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวในที่สุด.         
                                                    .......................................................................                                
ข้อมูล/ข่าว : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ออสเตรเลียพบไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีก

ออสเตรเลียพบไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีก PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2012 เวลา 20:33 น.
         องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) รายงานการพบไข้หวัดนกสายพันธุ์ก่อโรครุนแรงกลุ่ม H7
ในฟาร์มสัตว์ปีกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรายงานครั้งแรกของออสเตรเลียในรอบ 15 ปี
ทำให้ไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระตายกว่า 5,000 ตัว และมีสัตว์ปีกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกว่า 50,000 ตัว
โดยฟาร์มดังกล่าวพบว่ามีแหล่งน้ำจำนวนมากที่สามารถเป็นที่อาศัยของนกเป็ดน้ำซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคไข้หวัดนก
        ขณะนี้ กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (MAFF) ได้วางมาตรการกักกันต่อฟาร์มสัตว์ปีกดังกล่าวแล้ว โดยกำหนดพื้นที่ในรัศมี 3 กิโลเมตร เป็นเขตกักกัน ! และรัศมี 7 กิโลเมตร เป็นเขตควบคุม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการออสเตรเลียได้กล่าวว่า การระบาดของโรคจะไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภคสัตว์ปีกและไข่แต่อย่างใด

ที่มา : ส่วนควบคุมโรงฆ่าสัตว์ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร

การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร (บทความที่2/2556)

อีเมล พิมพ์ PDF
          ปัจจุบันเราจะได้ยินข่าวการแพร่ระบาดของโรคระบาดสัตว์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกกับโรคระบาดที่เกิดขึ้น และหลายคนงดกินเนื้อสัตว์ เนื่องจากวิตกว่าจะรับเชื้อจากเนื้อสัตว์เหล่านั้น ซึ่งโรคระบาดเหล่านั้นมีทั้งที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่สัตว์ และจากสัตว์สู่คน เช่นโรคไข้หวัดนก โรคพิษสุนัขบ้า โรคแอนแทรกซ์ โรควัวบ้า โรคปากและเท้าเปื่อย ฯลฯ แม้ในประเทศที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างหลายประเทศในแถบยุโรป เมื่อเกิดโรคระบาดสัตว์ขึ้น เช่น โรควัวบ้าโรคปากและเท้าเปื่อยระบาด ก็ยังไม่สามารถเข้าควบคุมและป้องกันโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจปีละนับหลายล้านบาท
                          วิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของโรคระบาด ก็คือ การจัดตั้งหน่วยดูแลและควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์เข้า – ออกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรค
                          กรมปศุสัตว์ โดยสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายและกักกันสัตว์-ซากสัตว์ เข้า-ออกระหว่างประเทศ โดยถือเป็นด่านปราการสำคัญในการควบคุม ป้องกัน และกำจัดโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งการค้าสัตว์หรือซากสัตว์ระหว่างประเทศ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการนำโรคสัตว์ต่างๆ มาแพร่ระบาดในประเทศได้
                          ดังนั้น การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าสู่ประเทศไทย จึงมีจำเป็นที่กรมปศุสัตว์จะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยมีขั้นตอนการนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าราชอาณาจักรดังนี้

การดำเนินการล่วงหน้า

                        ติดต่อ สอบถาม ขอคำแนะนำเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้น เนื่องจากสัตว์นำเข้าต้องผ่านการกักตรวจจากสัตวแพทย์ด่านกักกันระหว่างประเทศ ณ คอกกักกันสัตว์ของด่าน หากผู้นำเข้าประสงค์จะกักกันสัตว์ในพื้นที่ของตนเอง ต้องจัดเตรียมสถานกักกันสัตว์ให้เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์กรมปศุสัตว์ตรวจรับรองความเหมาะสมให้เรียบร้อยก่อน
                        การยื่นคำร้องขออนุญาตนำเข้า ต้องดำเนินการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน และควรติดต่อด้วยตนเองโดยยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่กรมปศุสัตว์กำหนด พร้อมแนบสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัวมาด้วยทุกครั้ง
                        กรมปศุสัตว์จะตรวจสอบสภาวะโรคของประเทศต้นทางจนมั่นใจว่าปลอดภัยจริง จึงออกหนังสืออนุมัติในหลักการอนุญาตนำสัตว์เข้าราชอาณาจักรฉบับอังกฤษ (Import Permit) พร้อมกำหนดเงื่อนไข (Requirement) การนำเข้าของสัตว์นั้น ซึ่งลงนามโดยอธิบดีกรมปศุสัตว์ หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
                        ส่วนผู้ขออนุญาตเมื่อได้รับเอกสารหนังสืออนุมัติในการอนุญาตนำเข้าฯ ของกรมปศุสัตว์แล้วให้นำส่งไปยังประเทศต้นทางทันที เพื่อประเทศต้นทางจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไข (Requirement) ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
                        ผู้ขออนุญาตต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ ณ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศ ประจำท่าเข้านั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ วัน ก่อนสัตว์เดินทางมาถึง เพื่อสัตวแพทย์จะได้เตรียมการอำนวยความสะดวกตรวจสอบสัตว์ ทำลายเชื้อโรคพาหนะบรรทุกสัตว์จัดเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ควบคุมรถบรรทุกสัตว์ไปยังสถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด และออกเอกสารใบแจ้งอนุมัตินำเข้า (ร.๖) ให้ผู้ขออนุญาตนำไปติดต่อดำเนินการทางพิธีศุลกากรที่ด่านศุลกากรประจำท่าเข้านั้น
                        สัตว์ที่นำเข้าต้องมีเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพ (Health Certificate) เป็นภาษาอังกฤษ ออกให้โดยสัตวแพทย์รัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มจากประเทศต้นทาง ถ้าเอกสารรับรองเป็นภาษาอื่น ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศต้นทาง หรือเจ้าหน้าที่สถานทูตประเทศต้นทางประจำเทศไทย หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ต้องตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กรมปศุสัตว์กำหนดทุกประการ ถ้ามีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ไม่ตรงตามเงื่อนไขที่กรมปศุสัตว์กำหนด จะไม่อนุญาตให้นำสัตว์นั้นเข้าประเทศไทย
                       สัตว์ที่นำเข้ามาทำพันธุ์ ต้องมีเอกสารหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติ (Pedigree) แนบมาด้วยทุกครั้ง
                        ผู้นำเข้าต้องเตรียมเอกสารแสดงราคาสัตว์ มอบให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกครั้งที่นำสัตว์เข้าราชอาณาจักร

การดำเนินการช่วงนำเข้า

                        ผู้นำเข้าสัตว์ หรือ ซากสัตว์เข้าราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมนำเข้าตามที่กำหนดกฎกระทรวงฯ ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๔๒
                        เมื่อเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ตรวจสอบเอกสารครบถ้วนแล้วจะออกใบอนุญาตนำเข้า (ร.๗) ให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า เพื่อใช้ในการตรวจปล่อยสินค้า และนำสัตว์ไปกักตรวจ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กำหนด

การดำเนินการหลังการนำเข้า

                        สัตว์จะถูกนำไปกักดูอาการ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด ในระยะเวลาที่นักวิชาการสัตวแพทย์จะพิจารณา เพื่อให้นักวิชาการสัตวแพทย์เก็บตัวอย่างต่างๆ จากสัตว์ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าปลอดโรคและผ่านพ้นระยะเวลาการกักกันแล้ว จึงจะอนุญาตเคลื่อนย้ายออกจากสถานกักกันสัตว์ได้ โดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกใบอนุญาตนำเข้า มอบให้ผู้นำเข้าไว้เป็นหลักฐาน
                        หากสัตว์ป่วย หรือตาย ขณะเดินทางมาถึง หรือระหว่างกักกันดูอาการ เจ้าของสัตว์ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ทันที เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการเพื่อชันสูตรโรคต่อไป
                        ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการในการป้องกันและนำสัตว์ และซากสัตว์เข้าราชอาณาจักร โดยมีด่านกักกันสัตว์ในประเทศ และระหว่างประเทศของกรมปศุสัตว์ ทั่วประเทศที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายสัตว์เข้า-ออกประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมและป้องกันไม่ให้โรคระบาดจากต่างประเทศเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศได้ อันจะส่งผลเสียหายกับประชาชนและปศุสัตว์ในประเทศไทยได้
…………………………………………
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เรียบเรียงโดย : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์