วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงโรคสัตว์ในช่วงอากาศหนาวเย็น

กรมปศุสัตว์ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงโรคสัตว์ในช่วงอากาศหนาวเย็น (21/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2012 เวลา 15:33 น.
อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยมีอุณหภูมิลดต่ำลง ส่งผลให้ภาคเหนือมีอากาศหนาว และหนาวจัดบนดอยสูง ส่วนภาคใต้มีฝนตกหนักในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย เกษตรกรจึงควรดูแลตัวเอง และสุขภาพปศุสัตว์ให้แข็งแรงอยู่เสมอ
          นายสัตวแพทย์ทฤษดี  ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า มีความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกตอนบนมีอากาศเย็นและมีหมอก บนยอดดอยอาจหนาวถึงหนาวจัดได้ และภาคใต้มีฝนกระจายถึงหนักมากในระยะนี้
                ซึ่งสภาพอากาศดังกล่าวอาจส่งผลให้สัตว์เลี้ยงเกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย จึงขอให้เกษตรกรในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังปศุสัตว์ของตนเอง ให้มีสุขภาพดีในฤดูหนาวที่กำลังมาถึง  โดยจัดเตรียม วิตามิน และเกลือแร่ ให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงจัดเตรียมโรงเรือนเพื่อเป็นที่กำบังลมหนาว หรือ หาที่สุมไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับปศุสัตว์ และเมื่อสุมไฟให้ไออุ่นกับปศุสัตว์เรียบร้อยแล้ว ขอให้เกษตรกรดับไฟให้สนิทเพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้ทุกครั้งด้วย ส่วนในภาคใต้ เกษตรกรควรจัดเตรียมน้ำสะอาด ยา เวชภัณฑ์ พืชอาหารสัตว์ และสถานที่เตรียมพร้อมอพยพสัตว์ขึ้นบนที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง เพื่อป้องกันการสูญเสียปศุสัตว์ในกรณีน้ำท่วมขังสูง
            สำหรับโรคในโค กระบือ ที่ควรระวัง ในระยะนี้ ได้แก่ โรคคอบวม หรือโรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย  เป็นโรคที่มีความรุนแรงในกระบือ สัตว์จะหายใจหอบ มีเสียงดัง คอ หรือหน้าบวมแข็ง ตายอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอบวม  นอกจากนี้ยังมีโรคปากและเท้าเปื่อย  ซึ่งสามารถติดต่อ และแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วในสัตว์กีบคู่ทุกชนิด จากการที่สัตว์กินเอาเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่กับอาหารและน้ำหรือหญ้า หรือหายใจเอาเชื้อที่ปะปนอยู่กับอากาศในบริเวณที่มีสัตว์ป่วยเข้าไปสัตว์จะ แสดงอาการมีไข้สูง เบื่ออาหาร น้ำลายไหล มีแผลที่ลิ้น เหงือก และร่องกีบ บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม เชื้อเข้าสู่กระแสโลหิต อาจทำให้สัตว์ตายได้   
           ในสุกร ให้ระวังโรคปากและเท้าเปื่อยเช่นเดียวกับในโค กระบือ และโรคที่มีการระบาดในช่วงนี้ คือโรค PRRS เป็นโรคในสุกรไม่ติดต่อถึงคน ซึ่งเชื้อจะแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว สุกรมีอาการไข้ หอบ ไอ ผิวหนังเป็นปื้นแดง ไม่มีแรง หากสุกรท้องจะแท้ง หรือลูกตายแรกคลอด หรืออ่อนแอ แคระแกร็น โตช้า จึงขอให้ผู้เลี้ยงสุกรเข้มงวดการป้องกันโรคเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร โดยแยกเลี้ยงสุกรใหม่ก่อนเข้ารวมฝูงอย่างน้อย 1 เดือน ทำลายเชื้อโรคที่อาจติดมากับยานพาหนะและคนก่อนเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร ด้วยการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง และในช่วงที่มีโรคนี้ระบาดในพื้นที่ ควรงดการนำสุกรเข้าเลี้ยงใหม่และให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อย่างใกล้ ชิด    
          สำหรับผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ไก่ชน และไก่พื้นเมือง  ควรเฝ้าระวัง ดูแล สุขภาพสัตว์ปีกของตนเองอย่างใกล้ชิด   ให้สัตว์ปีกนอนในที่แห้งหรือในเล้าหรือโรงเรือน ที่มีหลังคาและผนังป้องกันลม ฝนได้ รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคจะช่วยให้สัตว์ปีกแข็งแรง ต้านทานโรคได้เป็นอย่างดี  
         อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรเองก็ต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย และต้องหมั่นสังเกตสุขภาพของปศุสัตว์อยู่เป็นประจำหากพบสิ่งผิดปกติ หรือสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือปศุสัตว์จังหวัดใกล้บ้านท่าน อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวในที่สุด.         
                                                    .......................................................................                                
ข้อมูล/ข่าว : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ออสเตรเลียพบไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีก

ออสเตรเลียพบไข้หวัดนกในฟาร์มสัตว์ปีก PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย Administrator   
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2012 เวลา 20:33 น.
         องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) รายงานการพบไข้หวัดนกสายพันธุ์ก่อโรครุนแรงกลุ่ม H7
ในฟาร์มสัตว์ปีกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรายงานครั้งแรกของออสเตรเลียในรอบ 15 ปี
ทำให้ไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระตายกว่า 5,000 ตัว และมีสัตว์ปีกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกว่า 50,000 ตัว
โดยฟาร์มดังกล่าวพบว่ามีแหล่งน้ำจำนวนมากที่สามารถเป็นที่อาศัยของนกเป็ดน้ำซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคไข้หวัดนก
        ขณะนี้ กระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ (MAFF) ได้วางมาตรการกักกันต่อฟาร์มสัตว์ปีกดังกล่าวแล้ว โดยกำหนดพื้นที่ในรัศมี 3 กิโลเมตร เป็นเขตกักกัน ! และรัศมี 7 กิโลเมตร เป็นเขตควบคุม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทางการออสเตรเลียได้กล่าวว่า การระบาดของโรคจะไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภคสัตว์ปีกและไข่แต่อย่างใด

ที่มา : ส่วนควบคุมโรงฆ่าสัตว์ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร

การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร (บทความที่2/2556)

อีเมล พิมพ์ PDF
          ปัจจุบันเราจะได้ยินข่าวการแพร่ระบาดของโรคระบาดสัตว์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกกับโรคระบาดที่เกิดขึ้น และหลายคนงดกินเนื้อสัตว์ เนื่องจากวิตกว่าจะรับเชื้อจากเนื้อสัตว์เหล่านั้น ซึ่งโรคระบาดเหล่านั้นมีทั้งที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่สัตว์ และจากสัตว์สู่คน เช่นโรคไข้หวัดนก โรคพิษสุนัขบ้า โรคแอนแทรกซ์ โรควัวบ้า โรคปากและเท้าเปื่อย ฯลฯ แม้ในประเทศที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างหลายประเทศในแถบยุโรป เมื่อเกิดโรคระบาดสัตว์ขึ้น เช่น โรควัวบ้าโรคปากและเท้าเปื่อยระบาด ก็ยังไม่สามารถเข้าควบคุมและป้องกันโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจปีละนับหลายล้านบาท
                          วิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของโรคระบาด ก็คือ การจัดตั้งหน่วยดูแลและควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์เข้า – ออกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรค
                          กรมปศุสัตว์ โดยสำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายและกักกันสัตว์-ซากสัตว์ เข้า-ออกระหว่างประเทศ โดยถือเป็นด่านปราการสำคัญในการควบคุม ป้องกัน และกำจัดโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งการค้าสัตว์หรือซากสัตว์ระหว่างประเทศ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการนำโรคสัตว์ต่างๆ มาแพร่ระบาดในประเทศได้
                          ดังนั้น การนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าสู่ประเทศไทย จึงมีจำเป็นที่กรมปศุสัตว์จะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยมีขั้นตอนการนำเข้าสัตว์และซากสัตว์เข้าราชอาณาจักรดังนี้

การดำเนินการล่วงหน้า

                        ติดต่อ สอบถาม ขอคำแนะนำเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศประจำท่าเข้านั้น เนื่องจากสัตว์นำเข้าต้องผ่านการกักตรวจจากสัตวแพทย์ด่านกักกันระหว่างประเทศ ณ คอกกักกันสัตว์ของด่าน หากผู้นำเข้าประสงค์จะกักกันสัตว์ในพื้นที่ของตนเอง ต้องจัดเตรียมสถานกักกันสัตว์ให้เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์กรมปศุสัตว์ตรวจรับรองความเหมาะสมให้เรียบร้อยก่อน
                        การยื่นคำร้องขออนุญาตนำเข้า ต้องดำเนินการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน และควรติดต่อด้วยตนเองโดยยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่กรมปศุสัตว์กำหนด พร้อมแนบสำเนาหลักฐานบัตรประจำตัวมาด้วยทุกครั้ง
                        กรมปศุสัตว์จะตรวจสอบสภาวะโรคของประเทศต้นทางจนมั่นใจว่าปลอดภัยจริง จึงออกหนังสืออนุมัติในหลักการอนุญาตนำสัตว์เข้าราชอาณาจักรฉบับอังกฤษ (Import Permit) พร้อมกำหนดเงื่อนไข (Requirement) การนำเข้าของสัตว์นั้น ซึ่งลงนามโดยอธิบดีกรมปศุสัตว์ หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
                        ส่วนผู้ขออนุญาตเมื่อได้รับเอกสารหนังสืออนุมัติในการอนุญาตนำเข้าฯ ของกรมปศุสัตว์แล้วให้นำส่งไปยังประเทศต้นทางทันที เพื่อประเทศต้นทางจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไข (Requirement) ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
                        ผู้ขออนุญาตต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ ณ ด่านกักกันสัตว์ระหว่างประเทศ ประจำท่าเข้านั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ วัน ก่อนสัตว์เดินทางมาถึง เพื่อสัตวแพทย์จะได้เตรียมการอำนวยความสะดวกตรวจสอบสัตว์ ทำลายเชื้อโรคพาหนะบรรทุกสัตว์จัดเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ควบคุมรถบรรทุกสัตว์ไปยังสถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด และออกเอกสารใบแจ้งอนุมัตินำเข้า (ร.๖) ให้ผู้ขออนุญาตนำไปติดต่อดำเนินการทางพิธีศุลกากรที่ด่านศุลกากรประจำท่าเข้านั้น
                        สัตว์ที่นำเข้าต้องมีเอกสารหนังสือรับรองสุขภาพ (Health Certificate) เป็นภาษาอังกฤษ ออกให้โดยสัตวแพทย์รัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มจากประเทศต้นทาง ถ้าเอกสารรับรองเป็นภาษาอื่น ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศต้นทาง หรือเจ้าหน้าที่สถานทูตประเทศต้นทางประจำเทศไทย หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ต้องตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กรมปศุสัตว์กำหนดทุกประการ ถ้ามีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ไม่ตรงตามเงื่อนไขที่กรมปศุสัตว์กำหนด จะไม่อนุญาตให้นำสัตว์นั้นเข้าประเทศไทย
                       สัตว์ที่นำเข้ามาทำพันธุ์ ต้องมีเอกสารหนังสือรับรองพันธุ์ประวัติ (Pedigree) แนบมาด้วยทุกครั้ง
                        ผู้นำเข้าต้องเตรียมเอกสารแสดงราคาสัตว์ มอบให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกครั้งที่นำสัตว์เข้าราชอาณาจักร

การดำเนินการช่วงนำเข้า

                        ผู้นำเข้าสัตว์ หรือ ซากสัตว์เข้าราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมนำเข้าตามที่กำหนดกฎกระทรวงฯ ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๔๒
                        เมื่อเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ตรวจสอบเอกสารครบถ้วนแล้วจะออกใบอนุญาตนำเข้า (ร.๗) ให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า เพื่อใช้ในการตรวจปล่อยสินค้า และนำสัตว์ไปกักตรวจ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กำหนด

การดำเนินการหลังการนำเข้า

                        สัตว์จะถูกนำไปกักดูอาการ ณ สถานกักกันสัตว์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด ในระยะเวลาที่นักวิชาการสัตวแพทย์จะพิจารณา เพื่อให้นักวิชาการสัตวแพทย์เก็บตัวอย่างต่างๆ จากสัตว์ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าปลอดโรคและผ่านพ้นระยะเวลาการกักกันแล้ว จึงจะอนุญาตเคลื่อนย้ายออกจากสถานกักกันสัตว์ได้ โดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จะออกใบอนุญาตนำเข้า มอบให้ผู้นำเข้าไว้เป็นหลักฐาน
                        หากสัตว์ป่วย หรือตาย ขณะเดินทางมาถึง หรือระหว่างกักกันดูอาการ เจ้าของสัตว์ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ทันที เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และเก็บตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการเพื่อชันสูตรโรคต่อไป
                        ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการในการป้องกันและนำสัตว์ และซากสัตว์เข้าราชอาณาจักร โดยมีด่านกักกันสัตว์ในประเทศ และระหว่างประเทศของกรมปศุสัตว์ ทั่วประเทศที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายสัตว์เข้า-ออกประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมและป้องกันไม่ให้โรคระบาดจากต่างประเทศเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศได้ อันจะส่งผลเสียหายกับประชาชนและปศุสัตว์ในประเทศไทยได้
…………………………………………
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เรียบเรียงโดย : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์เดินหน้าควบคุมโรคไข้หวัดนกช่วงอากาศแปรปรวน โดยพยายามใช้มาตรการต่างๆ ทุกวิถีทางที่จะสามารถสกัดกั้นไม่ให้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย

กรมปศุสัตว์เดินหน้าควบคุมโรคไข้หวัดนกช่วงอากาศแปรปรวน โดยพยายามใช้มาตรการต่างๆ ทุกวิถีทางที่จะสามารถสกัดกั้นไม่ให้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2012 เวลา 13:44 น.
           นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้สัตว์เจ็บป่วยจากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกที่อาจเกิดขึ้นในสัตว์ปีก จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทุกหน่วยดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคไข้หวัดนกอย่างจริงจัง โดยพยายามใช้มาตรการต่างๆ ทุกวิถีทางที่จะสามารถสกัดกั้นไม่ให้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย
          กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ มากมายในการควบคุม ป้องกัน ไม่ให้ประเทศไทยเกิดโรคไข้หวัดนก เช่น การทำความเข้าใจ ให้ความรู้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ต่างๆ ทั้งไก่เนื้อ ไก่พื้นเมือง และเป็ด จัดกิจกรรมสัปดาห์รณรงค์ทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคไข้หวัดนกในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ดำเนินโครงการรณรงค์ค้นหาโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกแบบบูรณาการ (X-Ray) โดยดำเนินการสำรวจจำนวนสัตว์ปีก เฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกเชิงรุกด้วยอาการทางคลินิก ทุกพื้นที่และทุกชนิดสัตว์ และการสุ่มตรวจอุจจาระสัตว์ปีก ไก่เนื้อ ไก่พื้นเมือง รวมทั้งเป็ดไล่ทุ่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ของประเทศไทยปลอดภัยจากโรคไข้หวัดนก
            ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ต้องขอความร่วมมือจากประชาชน เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก ทุกท่าน หากพบเห็นสัตว์ปีกป่วยตายอย่างผิดปกติสามารถแจ้งเบาะแสให้กับ อาสาปศุสัตว์ ปศุสัตว์อำเภอ ปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ของท่าน
----------------------------------------
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ กรมปศุสัตว์

 

กรมปศุสัตว์ประสบความสำเร็จสร้าง “ไก่ชีท่าพระ” ไก่พื้นเมืองไทยสายพันธุ์แท้

กรมปศุสัตว์ประสบความสำเร็จสร้าง “ไก่ชีท่าพระ” ไก่พื้นเมืองไทยสายพันธุ์แท้ (11/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณพรสวรรค์ วิรัตน์เศรษฐสิน   
วันศุกร์ที่ 09 พฤศจิกายน 2012 เวลา 13:21 น.

อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผย กรมปศุสัตว์ประสบความสำเร็จในการสร้างไก่พื้นเมืองไทย สายพันธุ์แท้ "ไก่ชีท่าพระ" หลังใช้เวลาวิจัย และพัฒนากว่า 10 ปี โดยมีลักษณะเด่นให้สมรรถภาพการผลิตที่สูง มีขนสีขาวทั้งตัวเหมือนไก่เนื้อ จึงเหมาะสำหรับเป็นไก่พื้นเมืองในระบบอุตสาหกรรมในอนาคต

นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ไก่ชีท่าพระเป็นไก่พื้นเมืองไทยพันธุ์แท้ ที่ได้มีการพัฒนาพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ จ.ขอนแก่น โดยเริ่มสร้างฝูงไก่ชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ด้วยความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จนได้พันธุ์แท้ “ไก่ชีท่าพระ” จากขั้นตอนและวิธีการคัดเลือกตามหลักวิชาการ ฝูงพันธุ์ที่ได้มีลักษณะภายนอกซึ่งได้แก่ รูปร่าง ลักษณะหงอน และสีขนสม่ำเสมอเป็นเอกลักษณ์ ตรงตามลักษณะประจำพันธุ์และสามารถใช้จำแนกพันธุ์ได้ มีลักษณะประจำพันธุ์ทั้งลักษณะทางคุณภาพ (Qualitative traits) และ ลักษณะทางปริมาณ (Quantitative traits) เช่นเดียวกับไก่พันธุ์แท้ต่างๆ ของทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยสามารถแสดงความเป็นเจ้าของพันธุ์ได้ และยังมีศักยภาพการผลิตโดยการเลี้ยงในระบบฟาร์มสูงกว่าไก่พื้นเมืองทั่วไปกว่า 25 % “ไก่ชีท่าพระ” มีจุดเด่นหลายประเด็น เช่น สามารถเลี้ยงรอดได้ดีในลักษณะการเลี้ยงของเกษตรกรในหมู่บ้าน มีความเป็นแม่ที่ดีสามารถฟักไข่และเลี้ยงลูกได้เอง ให้จำนวนลูกไก่สูงกว่าไก่พื้นเมืองของเกษตรกรกว่า 30 %

ลักษณะประจำพันธุ์ เพศผู้ มีสร้อยคอสีขาวหรือสีงาช้าง ขนหาง ขนลำตัวสีขาว แข้ง ปาก สีเหลือง ใบหน้าสีแดง หงอนถั่ว ส่วนเพศเมีย มีลักษณะเหมือนเพศผู้แต่ไม่มีขนสร้อยคอ

ส่วนลักษณะทางเศรษฐกิจ คือ เมื่ออายุ 12 สัปดาห์ จะมีน้ำหนักตัว 1,135 ± 150 กรัม สามารถให้ไข่ฟองแรกเมื่ออายุ 170 วัน และให้ผลผลิตไข่ 125 ฟอง/แม่/ปี

ลักษณะดีเด่น ไก่ชีท่าพระมีลักษณะเด่นที่เป็นไก่ไทยพันธุ์แท้ที่ให้สมรรถภาพการผลิตที่สูงกว่า มีขนสีขาวทั้งตัวเหมือนไก่เนื้อ จึงเหมาะสำหรับเป็นไก่พื้นเมืองในระบบอุตสาหกรรมในอนาคต เพราะเมื่อผ่านการชำแหละหรือแปรรูปในระบบโรงเชือดขนาดใหญ่ไม่มีปัญหาขนหมุด (Pin feather) สีดำติดที่ผิวหนังของไก่ และแข้งมีสีเหลืองซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้สีขาวของขนทั้งตัวยังเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงไก่สวยงามของไทยอีกด้วย

การใช้ประโยชน์พันธุ์ ไก่ชีท่าพระเป็นไก่พื้นเมืองไทยที่มีศักยภาพและมีคุณค่าการบริโภคที่ดีเด่นกว่าไก่เนื้อมากเมื่อเทียบกันทางการค้า โดยไก่ชีท่าพระมีเนื้อที่แน่นนุ่ม มีโปรตีนสูงกว่า แต่มีไขมันและคอเลสเตอรอลน้อยกว่าถึง 2 เท่า กรมปศุสัตว์จึงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนกลุ่มเกษตรกรได้นำ “ไก่ชีท่าพระ” ไปใช้ประโยชน์ในการการค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อไป

นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้ร่วมมือกับ สกว. ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยการพัฒนาไก่ชีท่าพระเชิงเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ โดยเริ่มจากการสร้างการรับรู้/รู้จักพันธุ์ไก่ควบคู่กันไปทั้งในระดับเกษตรกรในชุมชนและในระดับผู้บริโภค โดย (1) การนำพันธุ์ไก่ลงสู่ชุมชนในรูปแบบของการสร้างเครือข่ายเกษตรกรเลี้ยงไก่ชีท่าพระในพื้นที่ของจังหวัดที่เริ่มมีการรับรู้/รู้จักและต้องการเลี้ยงไก่พันธุ์นี้ได้แก่ จ.ขอนแก่น มหาสารคาม และเลย (2) ร่วมกับการสร้างการรับรู้ไก่ชีท่าพระเชิงบริโภคในกลุ่มผู้บริโภค/ประชาชน โดยการนำไก่ชีท่าพระภาคอิสานที่นิยมบริโภคไก่เป็นหลัก จะทำให้เกษตรกร และผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้นทั้งการสร้างอาชีพและการบริโภคปรุงเป็นอาหารและการจัดทำเมนูอาหารยอดนิยมคือไก่ชีท่าพระย่างให้ชิมในร้านไก่ย่างที่มีชื่อเสียงของอ.เมือง และอ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ในช่วงเดือนธันวาคม 2555 (3) จัดการชิมไก่ชีท่าพระย่าง ต้มยำในงานเปิดการท่องเที่ยว อ.เชียงคาน จ.เลย (ธ.ค. 55) งานวันเกษตรแห่งชาติภาคอิสาน ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ม.ค.56) โดยมุ่งนี้การนำผลงานวิจัยจากหิ้ง......ลงสู่ชุมชน .......เข้าสู่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ ผู้สนใจขอรับข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40260 โทรศัพท์ 043 – 261194

...........................................................................................

ข้อมูล : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์

เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์เตือนโรคในสัตว์ปีก

กรมปศุสัตว์เตือนโรคในสัตว์ปีก (10/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณพรสวรรค์ วิรัตน์เศรษฐสิน   
วันพฤหัสบดีที่ 08 พฤศจิกายน 2012 เวลา 11:00 น.

กรมปศุสัตว์ ขอเตือนให้เกษตรกรหมั่นสังเกตสุขภาพสัตว์ปีก หากพบป่วยตายผิดปกติ ห้าม ขาย จำหน่าย แจก หรือ กิน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที พร้อมแนะให้ทำวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ปีกตามโปรแกรมอย่างเคร่งครัด

นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย กลางคืนมีอากาศหนาวเย็น สลับกับมีฝนตกบ้างในบางวัน ส่วนในเวลากลางวันจะมีอากาศร้อนจัด อาจทำให้สัตว์ปีกเกิดความเครียด ส่งผลให้เจ็บป่วยได้ง่าย และเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรค และการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ปีก อย่างเช่นโรคหลอดลมอักเสบ โรคไข้หวัดนก และโรคระบาดสัตว์ปีกอื่นๆ เกษตรกรจึงควร หมั่นสังเกตอาการ และสุขภาพของสัตว์ปีก ควรเสริมวิตามิน เกลือแร่ การจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่ของสัตว์ปีกให้เหมาะสม เช่น อย่าให้ลมโกรก ให้อยู่ในที่อุณหภูมิพอเหมาะ จัดให้มีเล้าหรือโรงเรือนสำหรับสัตว์ปีกนอนในตอนกลางคืน สามารถป้องกันแดด ฝน ลมและพาหะนำโรคระบาดสัตว์ได้ อีกทั้งยังง่ายต่อการดูแลสุขภาพสัตว์ปีกอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก www.dld.go.th/birdflu และต้องใช้หลักความปลอดภัยทางชีวภาพ ( Biosecurity) ในการป้องกันเชื้อโรคเข้ามาในฟาร์ม เช่น การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค การควบคุมคนหรือยานพาหนะเข้า – ออกฟาร์ม การมีเล้าหรือโรงเรือนเพื่อป้องกันพาหะนำโรค เป็นต้น และให้ทำวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด

ประกอบกับในช่วงนี้เริ่มมีนกอพยพเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย กรมปศุสัตว์ จึงขอความร่วมมือหน่วยงานที่เป็นเครือข่ายการเฝ้าระวังโรค ทั้งอาสาปศุสัตว์ อาสาสมัครสาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้คำแนะนำประชาชน เกษตรกร โรงเรียน และวัดที่มีการเลี้ยงสัตว์ปีก หากพบสัตว์ปีกป่วยหรือตายผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุ อย่านำสัตว์ปีกไปแจก ขาย หรือประกอบอาหารอย่างเด็ดขาด ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ในพื้นที่ทันที หรือ call center โทร 085-660-9906 เพื่อจะได้ดำเนินการควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายออกไปได้อย่างทันท่วงที

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ข้อมูล/ข่าว : ส่วนโรคสัตว์ปีก สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์

เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

กรมปศุสัตว์แนะนำเกษตรกรให้ผลิตหญ้าแดดเดียว

กรมปศุสัตว์แนะนำเกษตรกรให้ผลิตหญ้าแดดเดียว(9/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณพรสวรรค์ วิรัตน์เศรษฐสิน   
วันพุธที่ 07 พฤศจิกายน 2012 เวลา 14:34 น.
นายสัตวแพทย์อยุทธ์ หรินทรานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ แนะนำให้เกษตรกรผลิตหญ้าแดดเดียวเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งสัตว์ชอบกิน มีกลิ่นหอม คุณภาพดี และยังสามารถส่งขายในตลาดสัตว์เล็กได้อีกด้วย

การผลิตหญ้าแดดเดียวเป็นเทคนิคใหม่ในการทำหญ้าแห้ง จากเดิมที่ตัดหญ้าและตากในแปลงใช้ระยะเวลา 3-5 วัน เทคนิคนี้ใช้เวลาตัดและตากให้แห้งในแปลงเพียง 1 วัน เท่านั้น แต่การจะทำหญ้าแดดเดียวให้สำเร็จได้ ประกอบด้วยปัจจัย ดังนี้
1.  พันธุ์หญ้าที่ใช้ควรเป็นพันธุ์หญ้าที่มีลำต้นเล็ก เช่น หญ้าแพงโกล่า
2. หญ้าที่ตัดมีอายุระหว่าง 30-45 วัน
3. พื้นดินต้องแห้ง ฝนไม่ตก หรือหยุดการให้น้ำ มีแสงแดดจัดท้องฟ้าแจ่มใสหรือลมแรง
4. ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมคือเดือนธันวาคม-เมษายน

อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักร
1. รายใหญ่ไม่ควรตัดเกิน 10 ไร่/วัน
- เครื่องตัดหญ้าชนิดติดท้ายรถฟาร์มแทรกเตอร์ซึ่งใช้เวลาตัดไม่เกิน 2 ชม.
- เครื่องกระจายหญ้าแบบสะบัดผึ่ง ให้หญ้าโดนแดด และลมอย่างทั่วถึง ประมาณ 5-7 รอบ เป็นหัวใจสำคัญของการทำหญ้าแห้งแดดเดียว
- เกลี่ยรวมกองและอัดเสร็จในวันเดียวกัน
- ระยะเวลา 6 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น
2. เกษตรกรรายย่อย ไม่ควรตัดเกิน 1 ไร่
- เครื่องตัดแบบสะพายไหล่หรือเครื่องตัดชนิดเดินตาม
- เกลี่ยกระจายด้วยคลาดกลับหญ้าบ่อยๆให้ทุกส่วน โดนแดดและลม วันละ 5-7 รอบ
- เมื่อแห้งสนิทแล้วมัดเก็บด้วยเชือก

ข้อดีของการทำหญ้าแดดเดียว คือ จะทำให้หญ้ามีสีเขียว กลิ่นหอม สัตว์ชอบกิน หญ้าคุณภาพดี ไม่สูญเสียธาตุอาหาร ที่สำคัญยังเป็นที่ต้องการของตลาดของสัตว์เล็ก เช่น หนู กระต่าย อีกมาก ส่วนข้อจำกัดในการผลิตหญ้าแดดเดียว คือ ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน อาจเกิดเชื้อรา เนื่องจากยังมีความชื้นอยู่ได้ และไม่ควรจัดเก็บโดยวิธีกองเรียงกันสูงเกินไป เพราะอาจเกิดความร้อนหรือการสันดาป ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ ดังนั้นเกษตรกร จึงต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญ และระมัดระวัง เรื่องการระบายความร้อนของสถานที่จัดเก็บอย่างดีด้วย รองอธิบดีกล่าว.

......................................................................................

ข้อมูล : สำนักพัฒนาอาหารสัตว์

เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์