วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

การเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (5/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2012 เวลา 11:37 น.
กรมปศุสัตว์ไทยเป็นต้นแบบแก่ประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการใช้ระบบ e-service ในการควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์และการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าปศุสัตว์ ตามมาตรฐานสากล
                นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า การเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้มีความร่วมมือด้านการพัฒนาการประสานงานด่านกักกันสัตว์และการเคลื่อนย้ายสัตว์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล มาอย่างต่อเนื่อง โดยกรมปศุสัตว์ไทยเป็นประเทศแรกในประเทศสามาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่นำระบบ e-service และการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์มาใช้ในการเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าปศุสัตว์ได้
                จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีโรคระบาดสัตว์เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพสัตว์ และการผลผลิตของสัตว์ของประเทศนั้นๆ ดังนั้น เมื่อเกิดโรคระบาดสัตว์เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการสูญเสียปศุสัตว์ที่เลี้ยง ผลผลิตตกต่ำ เสียค่าใช้จ่ายในการรักษา หรือการควบคุมโรค สูญเสียโอกาสในการส่งสัตว์ไปจำหน่ายยังตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกิดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ อย่างเช่น โรคปากและเท้าเปื่อย โรคอหิวาต์สุกร โรครินเดอร์เปสต์ โรคไข้หวัดนก เป็นต้น
                การควบคุมโรคระบาดสัตว์ข้ามพรมแดนนั้น จะต้องอาศัยมาตรการหลายประการ เช่น การทำวัคซีนเพื่อป้องกันควบคุมโรค การเฝ้าระวังและทดสอบโรค ระบบเตือนภัย และการป้องกันโรคล่วงหน้า การควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์ ดั้งนั้นประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวม 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน (มณฑลยูนนาน) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศไทย เมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกัน ทำให้การเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามพรมแดนอาจก่อให้เกิดโรคระบาดในสัตว์ได้อยู่เสมอ ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคสัตว์ในสัตว์ อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงการพัฒนาการเคลื่อนย้ายสัตว์ในภูมิภาคนี้ กรมปศุสัตว์ และสำนักการเกษตรต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงจัดให้มีการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการเคลื่อนย้ายสัตว์ และการทำเครื่องหมายเลขทะเบียนสัตว์ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านด่านกักกันสัตว์ในประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นประจำทุกปี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านกักกันสัตว์ได้มีโอกาสในการปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ และวางมาตรการการเคลื่อนย้ายสัตว์ เพื่อที่จะสามารถนำกลับไปใช้ในการพัฒนาด่านกักกันสัตว์ของแต่ละประเทศให้พัฒนาทัดเทียมกันต่อไป รวมทั้งประเทศไทยได้ผลักดันให้ประเทศต่างๆ ได้นำระบบ e-service มาใช้ในการเคลื่อนย้ายสัตว์ในประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับของสินค้าปศุสัตว์อีกด้วย.
......................................................................................
ข้อมูล : กองปศุสัตว์ต่างประเทศ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์ เตือนระวังโรคสัตว์ในช่วงต้นหนาว(4/2556)

กรมปศุสัตว์ เตือนระวังโรคสัตว์ในช่วงต้นหนาว(4/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2012 เวลา 10:27 น.
กรมปศุสัตว์ เตือนเกษตรกรระวังโรคสัตว์ในหน้าหนาว หมั่นดูแลสุขภาพสัตว์ รักษาความสะอาดในสถานที่เลี้ยง ให้มีอากาศถ่ายเทและป้องกันลม ฝนได้ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำ พร้อมทั้งแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันทีที่พบสัตว์ป่วย/ตาย
          นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยมีความแปรปรวนและในช่วงนี้มีอุณหภูมิลดต่ำลงในหลายพื้นที่ ประกอบกับมีฝนตกในบางพื้นที่ด้วย ซึ่งสภาพอากาศดังกล่าวจะส่งผลให้สัตว์เลี้ยงเกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้สัตว์ป่วยได้ง่าย จึงขอให้เกษตรกรระวังโรคสัตว์ของตนเองและสัตว์ในหมู่บ้านในฤดูหนาวที่กำลังมาถึง
          สำหรับโรคในโค กระบือ ที่ควรระวัง ได้แก่ โรคคอบวม หรือโรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย เป็นโรคที่มีความรุนแรงในกระบือ สัตว์จะหายใจหอบ มีเสียงดัง คอ หรือหน้าบวมแข็ง ตายอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอบวม นอกจากนี้ยังมีโรคปากและเท้าเปื่อย ซึ่งสามารถติดต่อ และแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วในสัตว์กีบคู่ทุกชนิด จากการที่สัตว์กินเอาเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่กับอาหารและน้ำหรือหญ้า หรือหายใจเอาเชื้อที่ปะปนอยู่กับอากาศในบริเวณที่มีสัตว์ป่วยเข้าไปสัตว์จะแสดงอาการมีไข้สูง เบื่ออาหาร น้ำลายไหล มีแผลที่ลิ้น เหงือก และร่องกีบ บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม เชื้อเข้าสู่กระแสโลหิต อาจทำให้สัตว์ตายได้ ทั้งโรคคอบวมและปากเท้าเปื่อย กรมปศุสัตว์มีวัคซีนให้บริการเกษตรกรตลอดเวลา
          โรคในสุกร ให้ระวังโรคปากและเท้าเปื่อยเช่นเดียวกับในโค กระบือ และโรคที่อาจพบการระบาดได้ในช่วงนี้ คือโรค PRRS ซึ่งเป็นโรคในสุกรไม่ติดต่อถึงคน แต่เชื้ออาจจะแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว สุกรที่ติดเชื้อจะมีอาการไข้ หอบ ไอ ผิวหนังเป็นปื้นแดง ไม่มีแรง หากสุกรท้องจะแท้ง หรือลูกตายแรกคลอด หรืออ่อนแอ แคระแกร็น โตช้า จึงขอให้ผู้เลี้ยงสุกรเข้มงวดการป้องกันโรคเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร โดยแยกเลี้ยงสุกรใหม่เพื่อดูอาการก่อนนำเข้ารวมฝูงอย่างน้อย 1 เดือน ต้องทำลายเชื้อโรคที่อาจติดมากับยานพาหนะและคนก่อนเข้าสถานที่เลี้ยงสุกร ด้วยการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง และในช่วงที่มีโรคนี้ระบาดในพื้นที่ ควรงดการนำสุกรเข้าเลี้ยงใหม่และให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด
         สำหรับผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ไก่ชน และไก่พื้นเมือง  ควรเฝ้าระวัง ดูแล สุขภาพสัตว์ปีกของตนเองอย่างใกล้ชิด   ให้สัตว์ปีกนอนในที่แห้งหรือในเล้าหรือโรงเรือน ที่มีหลังคาและผนังป้องกันลม ฝนได้ รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันโรคจะช่วยให้สัตว์ปีกแข็งแรง ต้านทานโรคได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์จะตรวจเยี่ยมเกษตรกรอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งทำความสะอาดและฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์ปีก และให้ความรู้แก่เกษตรกรและประชาชนในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคที่ถูกต้อง
          ท้ายนี้กรมปศุสัตว์ ฝากถึงประชาชนว่า การประกอบอาชีพด้านปศุสัตว์ จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้รอบคอบ โดยเฉพาะด้านการจัดการ การควบคุม ป้องกันโรค และการตลาด หากสนใจขอข้อมูล หรือคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ ปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ทั่วประเทศ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว.
…………………………………………….
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

ทำอย่างไรเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรถึงจะอยู่รอดได้ (2/2556)

ทำอย่างไรเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรถึงจะอยู่รอดได้ (2/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2012 เวลา 13:05 น.
 นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ แนะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ใฝ่รู้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ หาช่องทางการตลาดใหม่ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากมูลและน้ำทิ้งจากฟาร์มสุกรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอด และต้องพร้อมปรับตัวให้สอดคล้องกับทุกสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้
            ในสภาวะการปัจจุบัน ราคาสุกรมีชีวิตตามประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ วันที่ 17 ตุลาคม 2555 เฉลี่ยทั่วประเทศกิโลกรัมละ 53 บาท และสุกรมีชีวิตที่หน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48 – 51 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วลดลงคิดเป็นร้อยละ 15.41 ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่กิโลกรัมละ 58 – 60 บาท เนื่องจากเกษตรกรขยายการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตสุกรมากกว่าความต้องการบริโภค กรมปศุสัตว์ จึงแนะนำให้เกษตรกรควรปรับตัวดังนี้
เกษตรกรควรปรับการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคของประชากรในประเทศ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลและเทศกาล เช่น เทศกาลกินเจ และปิดภาคเรียน ต้องปรับปริมาณการผลิตลดลงกว่าภาวะปกติ ต้องมีความใฝ่รู้ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาพันธุกรรมสุกรที่เหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงในแต่พื้นที่และตรงกับความต้องการของตลาด มีฐานข้อมูลรองรับเรื่องการผลิตลูก การขุน ระยะเวลา และปริมาณการใช้อาหาร เพื่อวางแผนธุรกิจอย่างชัดเจน (ใช้พันธุกรรมสุกรจาก สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์) ใช้วัตถุดิบราคาถูกที่มีในท้องถิ่นหรือที่หาได้มาทดแทนวัตถุดิบราคาแพงในการผลิตอาหารสุกรเพื่อลดต้นทุน และหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ของอาหารสุกร (ได้รับคำแนะนำ และองค์ความรู้จากเจ้าหน้าที่ กรมปศุสัตว์) มีการใช้ประโยชน์จากมูลสุกร โดยผลิตเป็นก๊าซชีวภาพและเป็นปุ๋ยกากตะกอนที่ได้รับจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพ สำหรับเกษตรกรรายเล็ก รายย่อย ต้องมีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายกันทำกิจกรรมต่างๆในวงจรการผลิตและจำหน่ายสุกร รวมถึงมีการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยผู้นำกลุ่มต้องเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็ง มีจิตใจดี มีการแบ่งปัน และเสียสละเพื่อสมาชิกกลุ่ม
การเพิ่มทักษะเพื่อหาช่องทางธุรกิจและการตลาดเพื่อรองรับผลผลิตที่แน่นอน นอกเหนือจากการขายลูกสุกรขุน สุกรขุน สุกรพันธุ์ เนื่องจากราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม กับราคาเนื้อสุกรหน้าเขียงแตกต่างกันมาก ทำให้ผู้ค้าได้กำไรมาก แต่ผู้เลี้ยงไม่ได้กำไร เกษตรกรจึงควรหาช่องทางเปิดเขียงจำหน่าย   เนื้อสุกรชำแหละผ่าซีกและชำแหละเป็นชิ้นส่วนเนื้อสุกรเอง รวมถึงการผลิตสินค้าจากเนื้อสุกร จำหน่าย เพื่อความอยู่รอด ---------------------------
ข้อมูล : สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ สำนักส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์
...

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

อธิบดีกรมปศุสัตว์ แจ้งเตือนประชาชนระวังโรคฉี่หนู (139/2555)

อธิบดีกรมปศุสัตว์ แจ้งเตือนประชาชนระวังโรคฉี่หนู (139/2555) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณพรสวรรค์ วิรัตน์เศรษฐสิน   
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2012 เวลา 14:10 น.

อธิบดีกรมปศุสัตว์ แจ้งเตือนประชาชนระวังโรคฉี่หนู เพื่อป้องกันและควบคุมโรค ซึ่งพบได้ตลอดปีในทุกภาค เชื้อโรคเข้าทางแผลหรือไชผ่านผิวหนังได้ เตือนผู้มีแผลที่เท้าต้องระวัง  การป้องกันให้สวมรองเท้าบู๊ทหากต้องลุยย่ำโคลน

นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลการระบาดของโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือโรคไข้ฉี่หนู โรคนี้พบได้ตลอดปีแต่จะพบมากในช่วงกรกฎาคม-ตุลาคมทุกปี ซึ่งเป็นฤดูกาลทำนา มีฝนตก น้ำขังเฉอะแฉะ โรคนี้มีสาเหตุมาจากหนู โดยเชื้อโรคซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียจะอยู่ในฉี่ของหนู และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำขังชื้นแฉะทั่วไป โดยติดเชื้อขณะทำนา ทำสวน ระหว่างการจับปลา จับหนูในนา

เชื้อโรคฉี่หนูเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง คือกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป  และเชื้อไชเข้าทางรอยแผล รอยขีดข่วน หรือผ่านผิวหนังปกติที่แช่น้ำนานๆ ซึ่งผิวจะอ่อนนุ่ม  เชื้อชนิดนี้มีชีวิตอยู่ในน้ำได้หลายเดือน  โดยทั่วไปมักติดเชื้อขณะเดินย่ำดินโคลน เดินลุยน้ำท่วม หลังติดเชื้อประมาณ 4-11 วัน จะเริ่มมีอาการ โดยจะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อมาก ปวดน่อง หากมีอาการให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้ทราบด้วย เนื่องจากโรคนี้มียารักษาหายขาด หากไม่รีบรักษาและปล่อยไว้นานจนอาการมากขึ้นเช่น ไอเป็นเลือด ตัวเหลือง อาจเสียชีวิตจากไตวาย ตับวายได้ 

การป้องกันโรคฉี่หนู ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน ถ้ามีบาดแผลตามร่างกาย รอยถลอก รอยขีดข่วน ควรงดลงน้ำ  หากจำเป็นต้องลุยน้ำต้องสวมรองเท้าบู๊ทเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้น้ำถูกแผล  ผู้ที่ต้องทำงานในที่ชื้นแฉะตามไร่นาหลังจากเสร็จภารกิจแล้วให้รีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด  เช็ดตัวให้แห้ง  ในการบริโภคน้ำบ่อควรต้มให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อ  ล้างผักผลไม้ด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง ดูแลบ้านเรือนให้สะอาด กำจัดขยะไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ปิดอาหารให้มิดชิดป้องกันไม่ให้หนูปัสสาวะรดอาหาร อาหารที่ค้างคืนให้อุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่บริโภคหนู ควรระมัดระวังการติดเชื้อ ให้สวมถุงมือขณะชำแหละและปรุงให้สุก  อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว.

……………………………………………………………………………….

ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

 

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์คุมโรคไข้หวัดนกเข้ม ต้องไม่มีสัตว์ปีกลักลอบเข้าประเทศไทย

เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2012 เวลา 14:32 น.
กรมปศุสัตว์ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนกเข้ม เพื่อไม่ให้เกิดโรคในประเทศไทย พร้อมปฏิบัติร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระ ซากของนกอพยพ และนกธรรมชาติทั่วประเทศประสานทุกหน่วยงานด่านชายแดนเข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ
          นายทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า จากที่มีข่าวการเกิดโรคไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยนั้น กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการเฝ้าระวังและป้องกันโรคไข้หวัดนกอย่างเข้มงวดมาอย่างต่อเนื่อง และได้ดำเนินการร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระ และซากของนกอพยพ และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งเฝ้าติดตามสถานการณ์การเกิดโรคระบาดในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามมาตรการเพื่อป้องกัน และควบคุม ไม่ให้เกิดโรคในประเทศไทยได้
          สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้าน มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่มากกว่า 40 ครั้ง ทำลายสัตว์ปีกไปกว่า 1.8 แสนตัว และจากรายงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันโรคไข้หวัดนกแห่งชาติของเวียดนาม พบว่าสายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดนก H5N1การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการระบาดที่รุนแรงขึ้น และเป็นไปได้ว่าเชื้อโรคดังกล่าวได้แพร่ระบาดมาจากประเทศจีน โดยมีรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555 เกิดการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกชนิด H5N1 ขึ้น 3 จุด ในพื้นที่ตำบล Lien Loc และ Hoa Loc ของเมือง Thanh hoa และตำบล Hauh Thuan ของเมือง Quang ngai ทางตอนเหนือของประเทศติดต่อกับประเทศจีน และตอนกลางของประเทศ
          อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในเวียดนาม อาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้ทางนกอพยพ หรือนกธรรมชาติที่บินเข้ามาสู่ประเทศไทย และการลักลอบนำสัตว์ปีกเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดนผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระและซากของนกอพยพ และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ หากพบว่ามีนกตายผิดปกติ หรือพบเชื้อโรคไข้หวัดนกจะเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันที และได้สั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะเข้า-ออก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถเข็น ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันที
          อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการเฝ้าระวังและป้องกันโรคไข้หวัดนกอย่างเข้มงวดมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรม ดังนี้
         1) กำหนดให้มีการรณรงค์ค้นหาโรคไข้หวัดนกแบบบูรณาการ ปีละ 2 ครั้ง ในเดือนมกราคม และกรกฎาคม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ทั้งหน่วยงานจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทุกครัวเรือน พร้อมทั้งสุ่มเก็บตัวอย่างอุจจาระสัตว์ปีก (cloacal swab) ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
         2) กำหนดให้มีการทำความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงปีละ 4 ครั้ง ในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคมของทุกปี โดยเน้นพื้นที่ที่มีสัตว์ปีกป่วยตาย พื้นที่ที่มีนกอพยพ นกธรรมชาติอาศัยอยู่ พื้นที่ตามแนวชายแดน โรงฆ่าสัตว์ปีก เป็นต้น
         3) ควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และซากสัตว์ปีกระหว่างจังหวัดและระหว่างโซน ซึ่งปัจจุบันมีการแบ่งพื้นที่การควบคุมเป็น 5 โซน มีจุดตรวจสอบการเคลื่อนย้ายระหว่างโซน 32 จุด
         4) พัฒนาการเลี้ยงสัตว์ปีกในรูปแบบฟาร์มปิดและฟาร์มมาตรฐาน ฟาร์มคอมพาร์ทเมนต์ ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกเข้าสู่ฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
         5) ปรับระบบการเลี้ยงไก่พื้นเมืองและสัตว์ปีกที่เลี้ยงแบบหลังบ้าน (back yard) ให้มีเล้าหรือโรงเรือนที่สามารถป้องกันแดด ลม ฝน และพาหะนำเชื้อโรคระบาดได้
         6) ขึ้นทะเบียนเป็ดไล่ทุ่งและจำกัดพื้นที่การเลี้ยงให้อยู่ภายในตำบลหรืออำเภอเดียว พร้อมทั้งมีการสุ่มเก็บตัวอย่างอุจจาระตรวจทุกฝูง ปีละ 2 ครั้ง ตลอดจนส่งเสริมให้มีการเลี้ยงเป็นระบบฟาร์ม
         7) ประสานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในนกอพยพและนกธรรมชาติ และเก็บตัวอย่างอุจจาระ ซาก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ พร้อมทั้งฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในแหล่งสร้างรังวางไข่ (colony) ปีละ 4 ครั้ง นอกจากนี้มีการสำรวจเส้นทางบินของนกเพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนเฝ้าระวังโรค
         8) ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดในการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกร่วมกัน
         สำหรับการติดตามสถานการณ์โรคไข้หวัดนกทั่วโลก ตั้งแต่เดือนมกราคม – ปัจจุบัน (11 กันยายน 2555) พบว่า ในสัตว์ปีกเกิดในประเทศจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เวียดนาม บังคลาเทศ เนปาล อินเดีย ภูฏาน แอฟริกาใต้ ไต้หวัน อิสราแอล เม็กซิโก เมียนมาร์ กัมพูชา อียิปต์ และอินโดนีเซีย ส่วนในคนพบในประเทศอียิปต์ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา บังคลาเทศ และจีน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้เฝ้าติดตามการเกิดโรคระบาดในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามมาตรการเพื่อป้องกัน และควบคุม ไม่ให้เกิดโรคในประเทศไทยได้
……………………………………………………….
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

กรมปศุสัตว์กับการเป็นผู้นำด้านพัฒนาพันธุ์สัตว์ สู่ AEC

เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพฤหัสบดีที่ 06 กันยายน 2012 เวลา 13:55 น.
อธิบดีกรมปศุสัตว์ เน้นพัฒนาปศุสัตว์ต้นพันธุ์ดี ให้มีคุณสมบัติทนทานต่อสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น และสนับสนุนเกษตรกรสู่ระบบมาตรฐาน เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านการพัฒนาพันธุ์สัตว์ในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
                นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า กรมปศุสัตว์ได้มีการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งนอกจากจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ และเงินทุนอย่างเสรีแล้ว ในด้านเกษตรกรไทยต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนด้วยเช่นกัน ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เข้าสู่ระบบ GAP (Good Agricultural Practice) และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต รวมกลุ่มเพื่อใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน ผลิตสินค้าที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะและหลากหลาย โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์เองได้เน้นด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยส่งเสริมการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแก่เกษตรกรและพัฒนาสัตว์พันธุ์ดี นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่สากล สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเข้าสู่ระบบมาตรฐาน สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรอีกด้วย
                ความก้าวหน้าด้านปศุสัตว์ของประเทศไทย ถือได้ว่ามีความก้าวหน้าทางด้านการเลี้ยงสัตว์ในทุกชนิดเชิงการค้ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากที่ผ่านเราได้มีการเตรียมความพร้อมโดยสนับสนุนให้มีเกษตรกรและนักวิชาการที่ชำนาญการเลี้ยงสัตว์ มีฐานพันธุกรรมสัตว์ดี ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์จนสามารถปรับตัวเข้าสู่สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบอาเซียนได้เป็นอย่างดี จนทำให้ประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม AEC สนใจนำเข้าสัตว์พันธุ์ดีจากประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายสัตว์ภายในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อการปรับปรุงพันธุ์และเพื่อการบริโภคได้อย่างเสรี ส่งผลให้มีการขยายตัวด้านการเลี้ยงสัตว์ทั้งเพื่อการบริโภค และเพื่อการส่งออกมากขึ้น
                สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ มีบทบาท และภารกิจในด้านการพัฒนาศักยภาพของการผลิตสัตว์ให้เข้าสู่มาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์ ได้รับใบรับรองมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต้นพันธุ์ดี ให้มีการผลิตปศุสัตว์พันธุ์ดี เป็นฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ปศุสัตว์ต้นแบบ เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ เพื่อการศึกษาดูงานของประเทศสมาชิกในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็น focal Point ของกรมปศุสัตว์ในการพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานการผลิตที่ดี ร่วมกับ สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการผลิตปศุสัตว์ที่มีความสำคัญทางการค้ามีศักยภาพทางการค้า เพื่อผลักดันให้เป็นมาตรฐานอาเซียน ในการเป็นตลาดและเป็นฐานการผลิตเดียวกันโดยยึดหลักให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากล อีกทั้งพัฒนาฟาร์มเครือข่ายปรับปรุงพันธุ์สัตว์ เครือข่ายการผลิตสัตว์ เครือข่ายอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ให้มีการดูแลสัตว์ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการผลิตสัตว์ที่ดี ให้มีวิธีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และร่วมวิเคราะห์ข้อมูลกับกรมปศุสัตว์ ขยายเครือข่ายความร่วมมือการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ และรับรองพันธุ์สัตว์ในระดับภูมิภาค และสิ่งสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนา คือการมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นเครือมือใน การตัดสินใจ จึงมีการเร่งด้านการพัฒนาฐานข้อมูลปรับปรุงพันธุ์สัตว์ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อเสริมสร้างความสามารถทางด้านการแข่งขันด้านการปับปรุงพันธุ์สัตว์ พัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนและรับรองพันธุ์สัตว์ของประเทศ เพื่อรับรองพันธุ์สัตว์ รับรองระดับสายเลือด รับรองพันธุ์ประวัติ และรับรองลักษณะและพันธุกรรมด้านผลผลิต เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สัตว์พันธุ์ของประเทศไทย
                การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานและเพิ่มความเข้มแข็งของศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์ ให้สามารถรองรับการศึกษาวิจัยปรับปรุงพันธุ์ สร้างพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ อนุรักษ์และพัฒนาแหล่งทรัพยากรพันธุกรรมสัตว์เศรษฐกิจและสัตว์พื้นเมือง วิจัยต่อยอดการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ให้เหมาะสม สำหรับใช้ในประเทศและการส่งออกสู่ประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน วิจัยการผลิตสัตว์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ให้มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกับชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการน้ำเสียจากฟาร์มหรือบริการจัดการของเสียให้เป็นพลังงานชีวภาพ ทั้งนี้ เกษตรกรไทยต้องพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย ของสินค้าปศุสัตว์ในระดับต้นน้ำ สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ จึงต้องพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานให้เข้าสู่มาตรฐานฟาร์ม พัฒนามาตรฐานการปฏิบัติทางการผลิตสัตว์ที่ดี เพื่อใช้เป็นพื้นฐานการผลิตสัตว์ และผลักดันให้เป็นมาตรฐานอาเซียน พัฒนาฟาร์มเครือข่าย จัดทำฐานข้อมูลปรับปรุงพันธุ์สัตว์ และพัฒนาระบบการขึ้นทะเบียน และรับรองพันธุ์สัตว์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าปศุสัตว์ ให้เกิดความแตกต่างในกลุ่มผลิตและตลาดต่อไป
.................................................................................
ข้อมูล : สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ กรมปศุสัตว์

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กรมปศุสัตว์กับการควบคุมโรคไข้หวัดนก (บทความ 8/2555)

เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2012 เวลา 13:27 น.
ตั้งแต่มีรายงานเกิดโรคไข้หวัดนกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2547 ที่ฟาร์มไก่ไข่ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี และจากนั้นโรคได้มีการแพร่ระบาดออกไปในหลายจังหวัด ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการควบคุมป้องกันโรคอย่างเร่งด่วน เป็นผลให้การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกลดลงจนกระทั่งไม่พบโรคไข้หวัดนกอีกเลยตั้งแต่ในปลายปี 2551 เป็นต้นมา
          การแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น เกิดจากความร่วมมือแบบบูรณาการของทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก ที่จัดทำขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ คือ 1. การจัดระบบการผลิตและเลี้ยงสัตว์ปีก 2. การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคทั้งในสัตว์และคน 3. การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ 4. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ประชาชน ภาคธุรกิจและนานาประเทศในการรับมือกับปัญหาโรคไข้หวัดนก
1.การจัดระบบการผลิตและเลี้ยงสัตว์ปีก
          มุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการเลี้ยงในสัตว์ปีกพื้นเมืองหรือเลี้ยงแบบหลังบ้าน (back yard) เป็ดไล่ทุ่ง ไก่ชน รวมถึงสนามชนไก่ ซ้อมไก่ให้มีรูปแบบการเลี้ยงที่ดี ถูกหลักวิชาการ และสามารถควบคุมป้องกันโรคได้ มีการจัดระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์หรือมาตรฐานฟาร์ม และการจัดทำระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกแบบคอมพาร์ทเมนต์ (compartmentalisation) เพื่อให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ได้ดำเนินมาตรการควบคุม และตรวจสอบการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันแพร่ระบาดของโรคไปยังพื้นที่อื่น ๆ โดยกำหนดให้มีการตั้งจุดตรวจทั่วประเทศจำนวน 152 จุด และจุดตรวจระหว่างโซนการเลี้ยงสัตว์ปีกจำนวน 21 จุดตรวจ โดยมีการตั้งจุดตรวจครอบคลุมตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งในสนามบิน ท่าเรือต่างๆ และมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตไก่ไทยมีความปลอดภัยและถูกสุขลักษณะตลอดสายการผลิต กรมปศุสัตว์ได้จัดทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) โดยใช้ระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกได้
2.การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคทั้งในสัตว์และคน
          มุ่งเน้นการปรับปรุงระบบการควบคุมและป้องกันโรคในสัตว์ปีก โดยดำเนินการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในด้านการควบคุม ป้องกันโรค การสอบสวนโรค การควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ การตรวจวินิจฉัยโรค และด้านระบาดวิทยา เพื่อให้การควบคุมป้องกันโรคเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Avian Influenza Investigation Team (AIIT)) ในระดับอำภอจนถึงระดับจังหวัด เพื่อความรวดเร็วในการสอบสวนและควบคุมโรค มีการซ้อมแผนปฏิบัติงานทั้งชนิดซ้อมบนโต๊ะ (Table top Exercise) และซ้อมแผนการปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อให้บุคลาการมีความเข้าใจตรงกันและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ได้มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูล การรายงานโรคไข้หวัดนกในรูปแบบ Realtime มีรายงานสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติประจำวันทุกวัน และสามารถตรวจสอบข้อมูลได้จาก website ของกรมปศุสัตว์ ตลอดจนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลร่วมกัน
          ในส่วนของการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในพื้นที่ ได้มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับส่วนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาในกรณีมีการแพร่ระบาดของโรค มีการสร้างเครือข่ายการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนก ระดับหมู่บ้าน และตำบลโดยมีการพัฒนาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินงานที่มากขึ้น ทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญให้มีการรณรงค์ค้นหาโรคไข้หวัดนกแบบบูรณาการเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยจัดทีมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการเข้าตรวจสอบสัตว์ปีกในทุกหมู่บ้าน เพื่อดูอาการสัตว์ปีก หากพบป่วยหรือตายมีอาการคล้ายโรคไข้หวัดนกจะควบคุมโรคทันที มีการรณรงค์ทำความสะอาด และทำลายเชื้อโรค ปีละ 4 ครั้ง ในพื้นที่เสี่ยง โดยใช้ยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อเป็นการทำลายเชื้อโรคที่อาจหลงเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อม
          ในส่วนของการควบคุมโรค เมื่อมีโรคไข้หวัดนกเกิดขึ้น สัตวแพทย์จะดำเนินการทำลายสัตว์ปีกจุดที่เกิดโรคทันที พร้อมทั้งสำรวจค้นหาโรคเพิ่มเติม และฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ห้ามการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และซากสัตว์ปีกในรัศมี 10 กิโลเมตร เกษตรกรจะได้รับค่าชดใช้ในการทำลายสัตว์ 75% ของราคาสัตว์จากงบภัยพิบัติฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2546 โดยการสั่งทำลายเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีชุดเฉพาะกิจในการควบคุมโรคประจำเขต 9 เขตเพื่อปฏิบัติงานที่เร่งด่วนอีกด้วย
3.การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข
4.ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ประชาชน ภาคธุรกิจและนานาประเทศในการรับมือกับปัญหาโรคไข้หวัดนก
          มีการพัฒนาเครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อช่วยในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคไข้หวัดนก มีการสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรและสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกรายย่อย เช่น สหกรณ์ผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ซึ่งปัจจุบันมี    27 แห่ง 22 จังหวัด ซึ่งทำให้มีความเข้มแข็งด้านการผลิต และการตลาด การรวมตัวของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง โดยจัดทำเป็นฟาร์มสาธิต 3,548 ฟาร์ม พร้อมมีเครือข่ายผู้เลี้ยงสัตว์ปีก 106,440 ราย ทั่วประเทศ
          การมีส่วนร่วมกับภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ปีกเชิงพาณิชย์ ทั้งสัตว์ปีกเนื้อ สัตว์ปีกไข่ และสัตว์ปีกพันธุ์ ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการหารือกันทั้งด้านการผลิต การตลาด การป้องกันโรคระบาดต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ นอกจากนี้มีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี องค์การระหว่างประเทศต่างๆ เช่น องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สหภาพยุโรป (EU) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยร่วมมือทั้งในด้านงานศึกษาวิจัย การเตรียมพร้อมด้านวัสดุอุปกรณ์ รวมถึงความช่วยเหลือด้านงบประมาณในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องด้วย
.......................................................................................
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เรียบเรียง และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ