วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

กรมปศุสัตว์ยืนยันยังไม่พบโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย

กรมปศุสัตว์ยืนยันยังไม่พบโรคไข้หวัดนกในประเทศไทยพิมพ์
เขียนโดย คุณพรสวรรค์ วิรัตน์เศรษฐสิน   
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2013 เวลา 11:00 น.
นายทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์ว่า พนักงานอาคารซีพีทาวเวอร์ ป่วยเป็นไข้หวัดนกนั้นจากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวกับกระทรวงสาธารณสุข พบว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดพนักงานไม่ได้ลาป่วยมากกว่าปกติ คนที่ลาป่วยเป็นเพียงไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลชนิดเอ เอช เอ็น โดยกระทรวงสาธารณสุข

ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ไปสอบสวนโรคไม่พบว่าการป่วยนั้นมีอาการเข้าได้กับไข้หวัดนกแต่อย่างใด กรมปศุสัตว์ได้มีการติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารการเกิดโรคไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดรวมทั้งดำเนินการเฝ้าระวังและป้องกันโรคไข้หวัดนกอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้สั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยานพาหนะเข้า-ออก ได้แก่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเข็น ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันทีและประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนบริเวณแนวชายแดน ตลอดจนผู้ที่เดินทางเข้า-ออกประเทศให้ระมัดระวังป้องกันโรคไข้หวัดนก

จากการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ ตามโครงการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกเชิงรุกแบบบูรณาการของประเทศไทยครั้งที่ผ่านมาในเดือนมกราคม 2556 และ กรกฎาคม2556 เก็บตัวอย่างในสัตว์ปีกที่เลี้ยงปล่อยบริเวณบ้านในพื้นที่เสี่ยง และเป็ดไล่ทุ่ง จำนวนทั้งสิ้น 35,003 ตัวอย่าง ให้ผลเป็นลบทั้งหมด เพื่อเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นและยกระดับการเฝ้าระวังและป้องกันโรค กรมปศุสัตว์จึงได้กำหนดให้ดำเนินกิจกรรมฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม โดยสั่งการให้ทุกจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ จัดเจ้าหน้าที่และเครือข่ายลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทุกหลังคาเรือน และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดนในรัศมี 10 กิโลเมตร โดยดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2556–กุมภาพันธ์ 2557หากพบว่ามีสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติสงสัยโรคไข้หวัดนกให้แจ้งปศุสัตว์อำเภอและสาธารณสุขอำเภอ เพื่อดำเนินการตรวจสอบเฝ้าระวัง และควบคุมโรคตามที่กำหนดไว้ต่อไป

ท้ายนี้กรมปศุสัตว์จึงขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกให้หมั่นดูแลสุขภาพสัตว์ปีกของตน เนื่องจากปัจจุบันเป็นช่วงมีอากาศแปรปรวน ควรจัดให้มีเล้าหรือโรงเรือนสำหรับสัตว์ปีกนอนในตอนกลางคืน สามารถป้องกันพาหะนำโรคระบาดสัตว์ได้ อีกทั้งยังง่ายต่อการดูแลสุขภาพอีกด้วย นอกจากนี้ควรเสริมวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งถ่ายพยาธิภายนอกและภายในตามโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สัตว์ปีกมีสุขภาพแข็งแรง หากพบสัตว์ปีกป่วยหรือตายผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ปศุสัตว์ตำบล อาสาปศุสัตว์ อาสาสมัครสาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารงานส่วนตำบล(อบต.) ในพื้นที่ทันที หรือแจ้งสายด่วนของกรมปศุสัตว์ที่โทร 0-8566-09906 เพื่อดำเนินการควบคุมป้องกันโรคมิให้แพร่ระบาดได้ทันท่วงที อย่านำสัตว์ปีกไปประกอบอาหารหรือโยนทิ้งน้ำ ให้ทำการฝังหรือเผาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จาก www.dld.go.th/dcontrol อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวในที่สุด

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฉีดวัคซินป้องกันไข้หวัดใหญ่

ฉีดวัคซินป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปีที่ 5 ทีมงานป้องกันและกำจัดโรคไข้หวัดนกอำเภอฝาง โดยฝ่ายสาธารณสุขโรงพยาบาลฝาง

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประชุมทบทวนบันทึกข้อมูลเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และขึ้นทะเบียนสุนัข - แมว



ปศุสัตว์อำเภอติวเข้ม การบันทึกข้อมูลเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และขึ้นทะเบียนสุนัข-แมว
เจ้าหน้าที่ อปท.รับฟังอย่างใจจดใจจ่อ

รับฟังและลงมือทำอย่างขะมักเขม้น

นำคอมพิวเตอร์แบบพกพา มาคนละเครื่อง

คนหนึ่งรับฟัง คนหนึ่งลงมือปฏิบัติ
ปศุสัตว์อำเภอถ่ายทอดวิชาแบบเห็นกันชัดๆ

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วงจรชีวิตของเห็บ (บทความ...../2556)

วงจรชีวิตของเห็บ (บทความ...../2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพุธที่ 17 เมษายน 2013 เวลา 11:57 น.
เห็บสุนัข มี ลักษณะแตกต่างจากแมลงโดยทั่วไป คือเห็บเต็มวัยมี 8 ขา เห็บจะไม่มีหัวมีแต่ส่วนที่เป็นปากยื่นออกมาให้เห็นเท่านั้น ขนาดของเห็บโตเต็มที่มีขนาดยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร เห็บจะใช้ส่วนปากของมันแทงเข้าใต้ผิวหนังและเกาะติดแน่นบนตัวสุนัขแล้วดูดกินเลือดเป็นอาหาร เห็บตัวเมียซึ่งได้รับการผสมพันธุ์จากเห็บตัวผู้บนตัวสุนัข แล้วจะดูดเลือดจนตัวเป่งจนขยายตัวเต็มที่อาจมีขนาดถึง 12 มิลลิเมตร มองดูคล้ายเมล็ดลูกหยี เมื่อมันจะวางไข่ มันจะถอนส่วนปากออกจากผิวหนัง หล่นจากตัวสุนัขแล้วไปหาที่วางไข่ หลังจากตัวเมียวางไข่แล้วก็จะแห้งตาย และก่อนที่เห็บจะออกจากตัวสุนัขทุกครั้งเห็บจะดูดกินเลือดจนตัวเป่งเต็มที่ก่อนเสมอ

เห็บมีวงจรชีวิต 4 ระยะ ระยะแรกคือไข่ ตัวเมียจะวางไข่เพียงครั้งเดียวซึ่งจะใช้เวลาในการวางไข่ประมาณ 10 วัน ไข่ทั้งหมดจะรวมอยู่กันเป็นกอง ๆ ประมาณ 2,000 ถึง 4,000 ฟอง จากนั้นตัวอ่อนจะมีการออกจากตัวสุนัข 3 ครั้ง เพื่อลอกคราบ โดยสามารถอาศัยอยู่ตามพื้นบ้าน ผนัง มุมกรงสุนัข ตลอดจนสนามหญ้าที่สุนัขเดินผ่าน แล้วลงมาวางไข่นอกตัวสุนัข ไข่ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการฟักออกมาเป็นตัวอ่อน ซึ่งจะมีเพียง 6 ขาเท่านั้น เคลื่อนที่ได้ไวมาก ตัวอ่อนนี้จะขึ้นไปกินเลือดบนตัวสุนัขอย่างน้อย 2 -3 วัน เมื่ออิ่มแล้วจะหล่นจากตัวสุนัข ไปหาที่ลอกคราบ กลายเป็นตัวกลางวัย ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวอ่อนอย่างเห็นได้ชัดและมี 8 ขา ตัวกลางวัยนี้จะกินเลือดบนตัวสุนัขอีก และจะหล่นลงสู่พื้นเมื่อกินอิ่มแล้วเช่นกัน
จากนั้นจะลอกคราบกลายเป็นตัวเต็มวัย ซึ่งจะต้องขึ้นบนตัวสุนัขอีกเพื่อดูดเลือดและผสมพันธุ์ต่อไป วงจรชีวิตของเห็บชนิดนี้จะ สมบูรณ์ได้ในเวลา ประมาณ 45-50 วัน แล้วแต่อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ เห็บแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก ถ้าเจ้าของสุนัข ไม่เอาใจใส่สุนัข ปล่อยให้มีเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายในบ้าน จะพบเห็บในปริมาณมากจนน่าตกใจ สุนัขอาจตายจากเห็บ จาการเสียเลือดทำให้ผอม และอ่อนเพลียแล้ว เห็บยังสามารถนำโรคร้ายแรง อื่นๆ มาให้สุนัขอีกด้วย

คนส่วนใหญ่เมื่อจับเห็บจากตัวสุนัขได้มักจะชอบบี้ให้ตาย นั่นจะเป็นการทำให้ไข่ของเห็บแพร่กระจายได้รวดเร็ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

ปัญหาและอันตรายที่เกิดจากเห็บ

1. สูญเสียเลือดอย่างเรื้อรัง และเกิดสภาวะโลหิตจางเนื่องจากทุกระยะของเห็บยกเว้นไข่จะดูดกินเลือดสุนัขนั่นเอง

2.  เกิดบาดแผลบนผิวหนังของสุนัข ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่สภาวะผิวหนังติดเชื้อเป็นหนอง
3.  ก่อให้เกิดความรำคาญและอาการคัน เนื่องจากน้ำลายเห็บ ทำให้สุนัขเกาและเกิดแผลตามมาได้
4.  การติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือด
     4.1  โรคไข้เห็บ (Babesiosis)
     4.2  Ehrlichiosis
     4.3  Hepatozoonosis

5.  ทำให้เกิดอัมพาตเนื่องจากเห็บ (Ticks paralysis)
-2-


การควบคุมและกำจัด

1.  การควบคุมโดยการใช้สารเคมี
2.  การควบคุมโดยชีววิธี
3.  การควบคุมแบบผสมผสาน
4.  การควบคุมโดยการใช้วัคซีน
ซึ่งในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการควบคุมโดยการใช้สารเคมีเท่านั้น เนื่องจากอีก 3 วิธีที่เหลือยังไม่เป็นที่นิยมและอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลอง
รูปแบบของการใช้สารเคมีในการกำจัดเห็บ

1. แชมพูกำจัดเห็บหมัด ประกอบไปด้วย แชมพูฟอกและทำความสะอาดตัวสุนัข ซึ่งจะมีส่วนของสารเคมีหรือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีผลในการกำจัดเห็บหมัด ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้เห็บหลุดจากตัวสุนัขชั่วคราว การอาบต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที ก่อนล้างออก
2. แป้งโรยตัว ซึ่งผู้ผลิตมักแนะนำให้โรยตัวหลังอาบน้ำ แต่ผู้เขียนเห็นว่าควรจะโรยตัวก่อนการอาบน้ำมากกว่า เพื่อขจัดสารเคมีออกจากตัวสุนัขก่อนที่สุนัขจะเลียแล้วก่อให้เกิดความเป็นพิษได้
3.  สเปรย์ ใช้สารเคมีเจือจางพ่นลงบนตัวสุนัขโดยเฉพาะบริเวณที่เห็บเกาะ มีผลทำให้เห็บตายได้

4.  สารเคมีเข้มข้นชนิดผงหรือสารละลาย ที่ใช้ผสมน้ำเพื่อราดตัว จุ่มตัว หรืออาบตัวสุนัขเพื่อฆ่าเห็บและหมัด เหา สุนัขได้

5.  กลุ่มเวชภัณฑ์ชนิดฉีด มีฤทธิ์ทำให้เห็บเกิดอัมพาตจนตายได้

6.  กลุ่มสารเคมีหยดผิวหนัง (Spot on) สารเคมีจะคงตัวอยู่ในชั้นไขมันใต้ผิวหนังในช่วงเวลาหนึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าเห็บหมัด
7.  ปลอกคอกันเห็บหมัด (Collars)
วิธีการควบคุมเห็บที่ถูกต้อง

เพื่อให้การควบคุมเห็บมีประสิทธิภาพสูง จำเป็นต้องมีการควบคุมเห็บพร้อมกันทั้ง 2 ส่วน คือ
1.   การควบคุมบนตัวสุนัข
2.   การควบคุมภายนอกตัวสุนัข หรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย โดยการพ่นสารเคมีกำจัดเห็บตามบริเวณซอกกรง บริเวณที่สุนัขนอน สนามหญ้า โดยใช้เครื่องสเปรย์คันโยกหรือฝักบัวรดน้ำต้นไม้
หลักในการควบคุมเห็บสุนัขให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อาจสรุปได้ดังนี้

1.   เลือกใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพสูง และเห็บไม่ดื้อต่อสารชนิดนั้น
2.   มีการควบคุมเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายนอกตัวสุนัข
3.   เลือกใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
4.   ใช้สารเคมีในขนาดที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้ในฉลากกำกับสารเคมี
5.   ทำการควบคุมเห็บในสุนัขทุกตัวที่เลี้ยงอยู่รวมกัน หรือใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
6.   สามารถใช้รูปแบบการควบคุมเห็บบนตัวสุนัขได้มากกว่า 1 วิธี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
คัดลอก ดัดแปลง และเรียบเรียงจากเอกสารการประกวดสุนัข 2545       “เห็บสุนัขและการควบคุม” ของ รศ. น.สพ. ดร.อาคม  สังข์วรานนท์ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

--------------------------------------------
ข้อมูล/ภาพประกอบ  :  สพ.ญ.ปราณี  พาณิชย์พงษ์  สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์                                   เผยแพร่ : สำนักส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย

กรมปศุสัตว์สั่งทุกด่านชายแดนเข้ม สกัดกั้นโรคไข้หวัดนกเข้าประเทศไทย PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันจันทร์ที่ 04 มีนาคม 2013 เวลา 09:01 น.

              อธิบดีกรมปศุสัตว์ สั่งการให้ทุกด่านกักกันสัตว์ทั่วประเทศ
ตรวจสอบทุกด่านชายแดนป้องกันการลักลอบนำเข้าสัตว์ปีกเข้มงวดกว่าเดิม
หวังสกัดกั้นไม่ให้โรคไข้หวัดนกเข้าสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะด่านอรัญประเทศ
ที่ติดกับประเทศกัมพูชา หลังพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดนกในกัมพูชาเพิ่มอีก 1 ราย
นับเป็นรายที่ 9 ของปีนี้
              นายทฤษดี  ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์  กล่าวว่า
กรมปศุสัตว์ได้สั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหาร
ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ
พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะเข้า-ออก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถเข็น
ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา
หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันที
และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนบริเวณแนวชายแดน ตลอดจนผู้ที่เดินทางเข้า-ออก
ประเทศให้ระมัดระวังป้องกันโรคไข้หวัดนก
               ทั้งนี้
ความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกที่ระบาดอยู่ในกัมพูชาอาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้ทางนกอพยพ
หรือนกธรรมชาติที่บินเข้ามาสู่ประเทศไทย
และการลักลอบนำสัตว์ปีกเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดนผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น
กรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระและซากของนกอพยพ
และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ หากพบว่ามีนกตายผิดปกติ
หรือพบเชื้อโรคไข้หวัดนกจะเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันที
               กรมปศุสัตว์ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกทั่วโลก
(ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 จนถึง 2 มีนาคม 2556) มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
ประเทศบังคลาเทศ เม็กซิโก เนปาล  ภูฐาน  และกัมพูชา
โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาซึ่งมีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย
พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกชนิดรุนแรง (Highly pathogenic avian influenza virus: H5N1)
ในฟาร์มสัตว์ปีก ขึ้น 3 จุด รายงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ในพื้นที่เมือง
Prey Kambas จังหวัด TAKEO ซึ่งตั้งอยู่ติดกับกรุงพนมเปญและประเทศเวียดนาม
มีการทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 4,000 ตัว โดยครั้งล่าสุด จำนวน 2 จุด รายงานเมื่อวันที่
22 กุมภาพันธ์ 2556 พบในสัตว์ปีกที่เลี้ยงหลังบ้าน ที่จังหวัด Kampong cham และ
จังหวัด Kampot  ทำลายสัตว์ปีกไปแล้วกว่า 3,500 ตัว
และจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชาตั้งแต่ต้นปี 2546
ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยจากโรคไข้หวัดนก  H5N1 จำนวน  30 ราย เสียชีวิตแล้ว 27 ราย
ซึ่งรายล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 นับเป็นรายที่ 9
ที่เสียชีวิตตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา

                         --------------------------------------------
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ กรมปศุสัตว์

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร(40/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 09:57 น.
นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่สุ่มตรวจความปลอดภัยสินค้าเกษตร ตามแนวการดำเนินการกำกับดูแลอาหารปลอดภัย สินค้าเกษตรภายในประเทศ ณ ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
           นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมหน่วยเฉพาะกิจตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อหน้าอกไก่ ตับไก่ เนื้อวัว เนื้อสุกร จากร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านปศุสัตว์จากตลาดไท และห้างแม็คโคร ปทุมธานี เพื่อตรวจสอบหาเชื้อจุลินทรีย์ และตรวจหาการปนเปื้อนยาสัตว์ต้องห้าม เช่น สารเร่งเนื้อแดง (Beta-agonist) ยากลุ่มไนโตรฟูแรนส์ (Nitrofurans, NFS) คลอแรมเฟนนิคอล (Chloramphenicol, CAP) ในตัวอย่างเนื้อสัตว์ การตรวจคุณภาพสินค้าปศุสัตว์เป็นขั้นตอนที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ น้ำนม ไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อื่นๆ โดยกรมปศุสัตว์จะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มเก็บตัวอย่างตั้งแต่ฟาร์ม โรงฆ่า สถานที่ชำแหละ จนถึงสถานจำหน่าย มาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์ ให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสินค้าปศุสัตว์ โดยหากพบสารต้องห้ามในสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดทันที
          ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ขอความร่วมมือหากพบเห็นการใช้สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ หรือสารต้องห้ามเลี้ยงปศุสัตว์อื่น รวมทั้งการลักลอบนำเข้า และซื้อ-ขายสารดังกล่าว ให้แจ้งเบาะแสได้ที่ กรมปศุสัตว์ โทร. 0-2653-4555 ในวัน และเวลาราชการ โดยทางกรมปศุสัตว์จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งไว้เป็นความลับ ซึ่งหากรายใดศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับแล้ว ผู้แจ้งจะได้รับรางวัลสินบนนำจับด้วย เนื่องจากการใช้สารต้องห้ามผสมอาหารเลี้ยงสัตว์อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และเป็นการทรมานสัตว์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ตามนโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร หรือ Food Safety ของรัฐบาล และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าของประเทศไทยอีกด้วย
                                               ...................................................................
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช สาสะกุล นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

กรมปศุสัตว์พร้อมป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ในสุกรและสัตว์ปีก

กรมปศุสัตว์พร้อมป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ในสุกรและสัตว์ปีก(27/2556) PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย คุณมณฑิชา นาควานิช   
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2013 เวลา 10:16 น.
กรมปศุสัตว์ จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานทางคลินิกของโรคไข้หวัดใหญ่สำหรับสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อได้ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้เป็นไข้หวัดงดสัมผัสสัตว์ และเฝ้าระวังสุกร และสัตว์ปีก หากพบสัตว์แสดงอาการผิดปกติ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบ มีน้ำมูก  หรือ แสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที
           นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชน ว่าพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ H3N2 ครั้งรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 20 ราย และมีแนวโน้มของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างคนและสัตว์ และเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อได้
           อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้เฝ้าระวัง และติดตามการเกิดโรคสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานทางคลินิกของโรคไข้หวัดใหญ่ สำหรับสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ของเชื้อ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย เพื่อกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ภายในฟาร์มสุกร นอกจากนี้ยังได้สั่งการไปยังปศุสัตว์จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศให้ประชาสัมพันธ์เกษตรกรรายย่อยได้ระมัดระวังมากขึ้น เช่น ไม่ให้ผู้ที่มีอาการป่วย เป็นไข้หวัด เช่น ไอ หรือจาม หลีกเลี่ยงเข้าฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสุกร และสัตว์ปีก  โดยเด็ดขาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อระหว่างคนและสัตว์ รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับระบบการเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก ของเกษตรกรรายย่อยเพื่อไม่ให้เลี้ยงสุกรหรือสัตว์ปีกปะปนกับสัตว์ชนิดอื่น และรณรงค์ทำความสะอาดและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ในสถานที่เลี้ยงสุกรและสัตว์ปีก รวมทั้งพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ  จากมาตรการที่กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการมาแล้วนั้น จึงถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสัตว์สู่คน และจากคนสู่สัตว์ ซึ่งอาจทำให้เกิดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้น และเป็นสาเหตุให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
           ท้ายที่สุดนี้ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เน้นย้ำให้เกษตรกรรักษาสุขภาพ หากมีอาการป่วยให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ และหากพบสัตว์แสดงอาการผิดปกติ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หอบ มีน้ำมูก  หรือ แสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ หรือปศุสัตว์จังหวัด เพื่อจะได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอในท้องที่ หรือโทรศัพท์ 085-6609906.
                                                                                   ......................................
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ : น้องนุช  สาสะกุล  นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ